บริษัท IAG หรือ Insurance Australia Group (ซึ่งมีบริษัทอย่าง 'ประกันคุ้มภัย' อยู่ในเครือด้วย) เล่าประสบการณ์ Digital Transformation ที่น่าสนใจอย่างการนำข้อมูล Data Warehouse ที่กระจัดกระจายกันอยู่มากถึง 23 ชุด มารวมอยู่ในที่เดียว เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ภายใต้โปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘Serenity’ โดยเลือกใช้ Open Source อย่าง OpenStack ของ Red Hat เข้ามาจัดการระบบจัดเก็บข้อมูล
กลุ่มบริษัทประกันภัยรายใหญ่ในออสเตรเลียอย่าง IAG (Insurance Australia Group) ที่มีบริษัทประกันจากประเทศออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ไทย (ซึ่งมีบริษัทที่อยู่ในเครือ อย่าง 'ประกันคุ้มภัย' อยู่ด้วย), เวียดนาม และอินโดนีเซีย ได้นำข้อมูลจาก 200 Core Systems ใน 200 ระบบ รวมเข้าเป็นแพลตฟอร์มแบบเดี่ยว (Single Platform) ภายใต้โปรเจกต์ที่มี Codename ว่า ‘Serenity’
Dave Abrahams, Executive General Manager of data ของ IAG กล่าวในงาน Red Hat Summit ที่ San Francisco ว่าโปรเจกต์จะเปิดให้ IAG สร้างข้อมูลได้จากที่เดียว และให้ลูกค้าเห็นข้อมูลได้ครบในที่เดียว
“การเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการในหลายๆ ปีที่ผ่านมาทำให้ข้อมูลในกลุ่มบริษัท IAG เหมือนถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดิน และกระจัดกระจายไปตาม Brand และ Product ที่แตกต่างกันออกไป”
“ย้อนกลับไปในช่วงหลายปีที่แล้ว เราพบว่าใน Data Warehouse ของเรามีข้อมูลถูกแบ่งเป็น Data Warehouse อยู่ 23 ชุด ซึ่งมีทั้งข้อมูลที่เชื่อมต่อกันและอยู่แยกกันอย่างเป็นเอกเทศกันด้วย” Abrahams กล่าว
“ข้อมูลดังกล่าวยังถูกทำซ้ำอยู่ในหลายๆ Data Warehouse อีกด้วย (ภายในยังมีการทำซ้ำอีก) ซึ่งกลุ่มข้อมูลเก็บไว้ก็มีสภาพรกรุงรังเล็กน้อย ความท้าทายแรกในตอนนั้นก็ คือ จัดข้อมูลจำนวนมากเหล่านั้นให้เข้าที่เข้าทางและทำความสะอาดมัน”
ภายใต้โปรเจกต์ Serenity นี้ ทางบริษัทก็ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานในการเก็บข้อมูล หรือ Data Infrastructure ซึ่งประกอบไปด้วย PostgreSQL และ Kafka (จาก Apache) และ Airflow ซึ่งทั้งหมดทำงานอยู่บน Infrastructure-as-a-service (IasS) ของ Red Hat OpenStack
“เราคิดว่าเรารวมข้อมูลจาก Core Systems ที่มีอยู่อย่างคร่าวๆ ประมาณ 150-200 ระบบ [เช่น ข้อมูลด้านนโยบาย (Policy) และ ระบบเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน] เราต้องการทำให้ข้อมูลที่มีความสำคัญสามารถเรียกใช้ได้แบบ Real-time เท่าที่เราจะสามารถทำได้ และ กระตุ้นให้เกิด Data Lake ที่ใหม่, สะอาด, รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน”
Abrahams ระบุว่าการวางรากฐานของ Data Infrastructure บน Open Source Stack ค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่สำหรับ IAG ซึ่งเมื่อก่อนบริษัทก็เก็บข้อมูลบนเทคโนโลยีของผู้ค้ารายใหญ่
“เราเคยถูกขับเคลื่อนจากผู้ขายเทคโนโลยีรายใหญ่ซึ่งเข้ามาและช่วยเราสร้างโซลูชันและแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ขึ้นมา” Abrahams กล่าว
“สิ่งเหล่านั้นมันเคยยอดเยี่ยมเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เพราะหลายสิ่งกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เราต้องการปรับตัวให้ได้ไวขึ้น และโชคไม่ดีนักที่แพลตฟอร์มเหล่านั้นป้องกันให้คุณอยู่แต่ภายในองค์กร และล็อคคุณให้อยู่ในนั้น ถ้าคุณต้องการจะปรับแต่งหรือปรับตัว คุณไม่ปรับในระบบนั้นได้โดยง่าย”
Abrahams กล่าวเสริมว่าจะถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์อย่างชัดเจน ซึ่ง Business Case ที่เป็นไปได้ ก็คือการใช้เทคโนโลยีในระบบให้มากขึ้น และใช้จ่ายมากขึ้น ถึงแม้ต้องการจะเอาระบบนี้ออกไปก็ตามที
“โฟกัสของเราคือการใช้สินค้าที่มีอยู่ในตลาดอย่างเทคโนโลยีด้าน Open Source ที่สร้างจาก Community ทำให้เกิดการปรับตัว ลบการปิดกั้นและยึดมั่นในเทคโนโลยีเดิมออกไป”
อย่างไรก็ตาม IAG กล่าวว่ายังมีความจำเป็นต้องการสนับสนุนจากผู้จัดจำหน่ายในบางรูปแบบ เพื่อให้มั่นใจว่าหน่วยงานที่กำ กับดูแลด้าน Open Source ไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงจนมากเกินไป เพราะฉะนั้น IAG จึงเรื่องใช้ระบบของ Red Hat
การนำแหล่งข้อมูลหลายๆ อันเข้ามารวมกัน หมายความว่า ตอนนี้ IAG สามารถเห็นทุกอย่างได้ในที่เดียวจาก 'Single Customer'
“นั่นเป็นสิ่งทำให้เราเข้าใจว่าลูกค้ากำลังทำอะไรอยู่, อะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับเขา เราจะช่วย Support ได้ดีขึ้นอย่างไร และนำเสนอบริการที่ดีกว่าเดิมได้อย่างไร” Abrahams กล่าว
“ขณะนี้เราก็มี 'Single View of Customers' ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลที่มีไปให้คนที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับข้อมูลได้ เช่น Analytics Teams ที่สามารถค้นหามีวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านราคา, บริการ และกระบวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้อีกด้วย
“นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ช่องทางด้านดิจิทัลของเรามีคุณภาพที่ดีขึ้น รวมถึงนำข้อมูลมาช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความสะดวกสบายมากขึ้น”
Abrahams กล่าวว่า IAG เป็นองค์กรที่ใช้ข้อมูลขับเคลื่อน (Data-driven) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ข้อมูลกำลังเพิ่มการเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญระหว่างองค์กรกับลูกค้ามากขึ้น” เขากล่าว
“พวกเราเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งที่สำคัญสำหรับเขา - ซึ่งเป็นสิ่งที่เขามองว่ามีคุณค่า และสภาพแวดล้อมที่เขาอาศัยอยู่ ดังนั้นเราจึงสามารถเข้าใจในความเสี่ยง รวมถึงจัดการและปกป้องผู้คนได้ดีมากขึ้น”
การนำข้อมูลมาใช้ร่วมกัน และทำให้ภายในองค์กรเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น จะสร้าง Flow-on Effects เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรก็จะตอบสนองได้ทันที เช่น การพบเจอเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติของลูกค้า
“ถ้ามีพายุไซโคลนจะจู่โจมเมือง Queensland เราจะสามารถเรียกใช้ชุดข้อมูลของเราเพื่อยืนยันตัวตนลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเร็วกว่าการรอลูกค้าจะโทรศัพท์เข้ามาขอใช้สิทธิ์ประกันภัย เราสามารถก้าวไปข้างหน้าและพบปะเข้าถึงชุมชนเพื่อเข้าถึงพวกเขาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” Kieran Clulow, Data Engineering Director ของ IAG กล่าว
อ้างอิงข้อมูลและภาพจาก itnews.com.au
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด