KKP Research มองเศรษฐกิจไทยปี 2021 ฟื้นไม่ทันเศรษฐกิจโลก | Techsauce

KKP Research มองเศรษฐกิจไทยปี 2021 ฟื้นไม่ทันเศรษฐกิจโลก

KEY TAKEAWAYS 

  • KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยขึ้นจาก 2.0% เป็น 2.7% ตามผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่ที่น้อยกว่าที่ประเมินไว้และการฟื้นตัวของการส่งออก อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังถือว่าช้ามากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกจากนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาได้เพียง 1 ล้านคนในปีนี้ 
  • การฉีดวัคซีนในหลายประเทศที่ทำได้เร็วจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในปีนี้ ประกอบกับการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐ ฯ อาจนำไปสู่ความเสี่ยงเงินเฟ้อรอบใหม่ และการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก  
  • ประเทศไทยจะกลายเป็น “ประเทศเศรษฐกิจฝืด ในโลกเงินเฟ้อ” ที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามภาวะการเงินโลก ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนในการระดมทุนของภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันค่าเงินบาทในปีนี้เปลี่ยนทิศทางเป็นอ่อนค่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีโอกาสขาดดุล 

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทรวิเคราะห์ว่าแม้ว่าผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทยดูเหมือนจะน้อยกว่าที่คาดแต่ไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้าที่สุดในปีนี้

เศรษฐกิจในประเทศเริ่มกลับสู่ภาวะปกติจากความสำเร็จในการควบคุมการติดเชื้อแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวสูงและยังไม่สามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้ ทำให้เศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ในปีนี้ต่างจากประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาที่น่าจะกลับมาเติบโตได้ถึง 6-7% ในปี 2021 เกินกว่าการหดตัวในปีก่อนจากความสำเร็จในการเร่งฉีดวัคซีนที่จะทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศกลับมาเปิดได้เร็ว รวมถึงแรงกระตุ้นทางการคลังขนาดมหึมาที่จะทำให้ระดับ GDP ของสหรัฐกลับไประดับก่อนโควิด -19 ในอีกไม่นานนัก

เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวได้ดีกำลังสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้นในหลายประเทศสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้น แต่ในกรณีของประเทศไทยนอกจากเศรษฐกิจที่หดตัวไปแรงจนเป็น “หลุม” ที่ใหญ่กว่า และฟื้นตัวกลับมาถมได้ช้ากว่าแล้วเศรษฐกิจกำลังจะเจอกับอีกความท้าทายจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ในฐานะที่เป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็ก พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ และมีตลาดการเงินที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศสูงอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเจอกับความเสี่ยงที่คล้ายกับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Stagflation”หรืออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และอัตราดอกเบี้ยกำลังปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยโลกในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

ปรับ GDP เป็น 2.7% นักท่องเที่ยวเหลือ 1 ล้านคน

การระบาดระลอกใหม่ที่เริ่มต้นเมื่อเดือนธันวาคมจบลงเร็วกว่าคาด ส่งผลให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1ต่ำกว่าที่ประเมิน ก่อนหน้านี้ KKP Research มีการปรับ GDP สำหรับปี 2021 ลงภายใต้สมมติฐานว่าการระบาดของโควิด -19ระลอกใหม่ อาจยืดเยื้อไปได้สูงสุดถึง 1 ไตรมาสและต้องมีการปิดเมืองที่ยาวนานมากกว่าการระบาดในปีก่อน

อย่างไรก็ตามจากข้อมูลล่าสุดผลกระทบจากการะบาดระลอกใหม่น้อยกว่าที่ประเมินไว้มากจากมาตรการที่ไม่เข้มงวดเท่าเดิมและความกังวลของคนต่อโควิด-19 ที่เริ่มน้อยลงประกอบกับสถานการณ์การระบาดที่คลีคลายได้เร็วและมาตรการผ่อนปรนที่เห็นทิศทางชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์จึงมีโอกาสเห็นการบริโภคและการลงทุนกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงหลังจากนี้ไป

อย่างไรก็ตาม ในภาคการท่องเที่ยวที่เป็นความหวังของเศรษฐกิจไทยดูเหมือนว่าจะยังไม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นได้ตลอดทั้งปี 2021จากสถานการณ์การฉีดวัคซีนของไทยในปัจจุบันที่ค่อนข้างช้า แม้ว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนของรัฐบาลก็คาดว่าจะมีคนไทยเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศเท่านั้นที่จะได้รับวัคซีนในปีนี้ ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับการสร้าง HerdImmunity หรือภูมิคุ้มกันสำหรับประเทศเพื่อหยุดยั้งการระบาด จึงค่อนข้างยากที่ไทยจะกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างจริงจังภายในปีนี้ทำให้เรามองว่าตลอดทั้งปี 2021นักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกลับมาในประเทศได้ในจำนวนที่จำกัด และปรับการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวลงอีกครั้งจาก 2ล้านคนเหลือ 1 ล้านคนและเมื่อเปิดประเทศในปี 2022 นักท่องเที่ยวจึงจะเริ่มกลับมาได้อย่างมีนัยยสำคัญเมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด KKP Research ปรับการคาดการณ์ GDP ขึ้นจากการเติบโตที่ 2.0% เป็น 2.7%แต่ระดับการฟื้นตัวที่ปรับดีขึ้นก็ยังถือว่าฟื้นตัวช้ามากเมื่อเทียบกับการหดตัวในปีก่อนและยังอยู่ในระดับต่ำกว่าแนวโน้มการเติบโตก่อนโควิด

เมื่อโลกพิมพ์เงินไม่ยั้งและเศรษฐกิจกลับมาเปิด หรือเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ?

เศรษฐกิจหลายประเทศในปีนี้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา กำลังจะฟื้นตัวแรงและ GDPน่าจะกลับไปสูงกว่าก่อนการระบาดของโควิดได้ในปีนี้ ซึ่งเกิดจากเหตุผลหลักสองส่วน คือ การใช้วัคซีนที่ทำได้อย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลกทำให้เศรษฐกิจน่าจะสามารถกลับมาเปิดเต็มที่ได้ภายในปีนี้ 

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joe Biden ซึ่งมีขนาด $1.9ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากถึงเกือบ 10% ของ GDP นับเป็นแรงส่งสำคัญต่อเศรษกิจโลกยิ่งไปกว่านั้นธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักยังทำนโยบายอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่เศรษฐกิจและตลาดการเงินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาจากเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นได้เร็ว คือ เงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ (Demand-pull inflation)ซึ่งเกิดขึ้นได้จากเหตุผลหลายประการ คือ 

(1) อุปสงค์ที่อั้นจากโควิด (Pent-up demand)โดยเฉพาะในภาคบริการที่จะกลับมามากกว่าปกติเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเปิด 

(2)การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินจำนวนมากชองสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องจากมาตรการในปีก่อนจะยิ่งทำให้การใช้จ่ายของคนมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในภาวะที่ประชาชนในสหรัฐฯอเมริกามีเงินเหลือและมียอดเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ 

(3)เงินปริมาณมหาศาลที่ค้างอยู่ในระบบเศรษฐกิจเป็นผลจากนโยบายของธนาคารกลางทำให้เมื่อเศรษฐกิจกลับมาเปิดและการหมุนของเงินกลับมาเป็นตามสถานการณ์ปกติอาจนำไปสู่เงินเฟ้อที่แรงกว่าที่เราคาดคิดได้นอกจากนี้ เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมา แต่อุปทานของสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิด (เช่น น้ำมัน)อาจจะยังไม่สามารถไม่กลับมาเต็มที่ อาจทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นได้อย่างน้อยในระยะสั้นในปัจจุบันความเสี่ยงของเงินเฟ้อเริ่มสะท้อนผ่านการคาดการณ์เงินเฟ้อในตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นสัญญาณเบื้องต้นว่าเงินเฟ้ออาจกำลังจะกลับมาในอนาคตอันใกล้นี้ซึ่งจะส่งผลสำคัญต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นชัดเจนในปี 2021 ซึ่งความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่รุนแรงจะส่งผลต่อเนื่องถึงการตอบสนองของธนาคารสหรัฐ ฯที่อาจต้องลดปริมาณการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (QE) ลง

ประเทศเศรษฐกิจฝืด ในโลกเงินเฟ้อ

เศรษฐกิจไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2020 และในปี 2021ก็จะเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้าที่สุดเช่นกัน เป็นภาพกลับกันกับเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะฟื้นตัวย่างแข็งแกร่ง 

หมายความว่าสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือกลายเป็น “ประเทศเศรษฐกิจฝืด ในโลกของเงินเฟ้อ”ซึ่งกำลังจะเจอกับความเสี่ยงสำคัญ จากราคาสินค้าวัตถุดิบหลายอย่าง เช่นราคาน้ำมันดิบที่ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นไปเกินกว่าระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาเรลแล้ว ผลต่อเนื่อง คือต้นทุนการผลิตสินค้าของไทยกำลังจะสูงขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว

ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคของไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและอัตราเงินเฟ้อของโลกและสหรัฐอเมริกาในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็กข้อมูลในอดีตสะท้อนชัดเจนว่าอัตราเงินเฟ้อไทยมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเงินเฟ้อของสหรัฐฯตลอด  KKPResearch จึงปรับการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2021 จาก 0.9% เป็น 1.2%

แม้ปัญหาเงินเฟ้อของไทยอาจไม่รุนแรงมากทั้งจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น เทคโนโลยีใหม่ ๆที่ลดต้นทุนการผลิตและกองทุนน้ำมันที่ช่วยลดแรงกดดันต่อราค้าขายปลีกน้ำมันแต่สิ่งที่น่ากังวลคือฝั่งต้นทุนการผลิตที่จะปรับตัวสูงขึ้น

แต่ในภาวะที่เศษฐกิจชะลอตัวธุรกิจจะไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ผู้บริโภคได้ท้ายที่สุดจะกระทบกับความสามารถในการทำไรของธุรกิจบางกลุ่มในระยะหลังจากนี้ไปเรียกได้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจกำลังก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่สถานการณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับภาวะ “Stagflation” แบบไม่รุนแรงหรือ ภาวะ“ของแพง เศรษฐกิจแย่” ในปี 2021 นี้

การส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าภูมิภาค บาทมีโอกาสอ่อนค่าลง

เมื่อราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นผลกระทบอีกอย่างที่เกิดต่อไทย คือ ผลต่อการเกินดุลการค้าในประเทศที่จะมีขนาดเล็กลง ในปี2020 ที่ผ่านมา การส่งออกไทยหดตัวค่อนข้างมาก และรายได้จากการท่องเที่ยวหายไปแต่ประเทศไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้อยู่เพราะการนำเข้าหดตัวอย่างรุนแรง แต่มองไปข้างหน้าการส่งออกที่ยังไม่ขยายตัวได้มากนัก ในขณะที่การนำเข้าน่าจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้บ้างแล้ว

ประกอบกับราคาน้ำมันที่กำลังปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ระดับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยลดลงแม้ว่าการส่งออกของไทยในเดือนมกราคมจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ตามภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกแต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วการเติบโตของการส่งออกไทยยังถือว่าช้ากว่าหลายประเทศมากเมื่อพิจารณาประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่ดีกว่าคาด และการท่องเที่ยวที่จะยังไม่สามารถกลับมาได้ตลอดทั้งปีจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีโอกาสสูงที่จะขาดดุลโดยเฉพาะในไตรมาส 2 ของปี 2021และอาจเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงและมีความผันผวนที่สูงขึ้นได้ในปีนี้ อย่างไรก็ตามเราคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดน่าจะกลับมาเกิดดุลได้ในช่วงครึ่งหลังของปีโดยเฉพาะเมื่อรายได้จากการท่องเที่ยวเริ่มกลับมา

แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ดีกว่าหลายประเทศและอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจจะกลายเป็นอีกแรงดึงดูดให้เงินไหลออกจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าได้ KKP Researchประเมินว่าจากปัจจัยทั้งหมดค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงในช่วง 31.5 – 32.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ฯอย่างน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี และทิศทางค่าเงินยังต้องจับตาดูทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (FED)ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงหลังจากนี้ไป

ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น กับความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน

เงินเฟ้อที่กำลังจะกลับมา อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นสาเหตุทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยระยะยาวควรจะสะท้อนมุมมองต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในอนาคตในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นและจะไม่เป็นภาระต่อเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามในกรณีของไทยอัตราดอกเบี้ยระยะยาวกลับปรับตัวสูงขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจยังชะลอตัวอยู่มากสาเหตุเป็นเพราะตลาดการเงินไทยที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกา ทำให้เมื่อดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไทยเองมักจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยดูจากตัวเลขอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ10 ปีของไทยปรับตัวสูงขึ้นจากสิ้นปีที่ 1.3% กลายเป็น 2.0% แล้วในปัจจุบัน

การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังแย่สร้างผลกระทบที่ตามมาอีกสองประการ คือ

(1) ต้นทุนในการระดมทุนของบริษัทที่จะเพิ่มสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นนับเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมให้เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าอยู่แล้วอาจชะลอตัวลงไปมากกว่าเดิมอีกรอบเพราะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนในการระดมทุนของบริษัทที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลเพราะจากโครงสร้างตลาดการเงินไทยการระดุมทุนผ่านการออกพันธบัตรของบริษัทเอกชนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของการระดมทุนทั้งหมด อยู่ในระดับใกล้เคียงกับการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์แล้ว แม้ในปัจจุบันจะเห็นเฉพาะอัตราดอกเบี้ยระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีเป็นต้นไปที่ปรับตัวสูงขึ้นแรงซึ่งอาจยังไม่ใช่ระยะที่บริษัทออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนเป็นหลัก แต่ยังมีความเสี่ยงที่บริษัทต่าง ๆจะหันมาออกหุ้นกู้ระยะสั้นที่มีต้นทุนถูกกว่าและยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามทิศทางนโยบายการเงินกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจดึงให้เส้นอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นไปทั้งเส้น

(2) ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท และการออกหุ้นกู้ใหม่ของบริษัทเอกชน (Rollover risk) อาจปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแม้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกู้ภาคเอกชนและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลซึ่งสะท้อนส่วนชดเชยจากความเสี่ยงที่สูงกว่า (Risk premium) หรือที่เรียกว่า Credit spread เริ่มปรับตัวดีขึ้นมาบ้างแต่ยังแย่อยู่ในหุ้นกู้บางกลุ่มโดยเฉพาะในกลุ่มที่มี Credit Rating ค่อนข้างแย่ ยิ่งเมื่อเจอกับสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่เริ่มสูงขึ้น ก็จะมีโอกาสที่ Creditspread จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกหากเป็นเช่นนั้นจริงประเด็นด้านการผิดนัดชำระหนี้และปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินจะเป็นเรื่องที่ต้องกลับมากังวลอีกรอบหนึ่ง

เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหารอบใหม่

เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ใหม่ทั้งต่อภาวะทางการเงินและเสถียรภาพระบบการเงินซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของธนาคารแห่งประเทศไทย แม้ว่าในปีที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาที่ระดับต่ำสุดตั้งแต่เคยมีมาที่ 0.5%อย่างไรก็ตามในวันนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเจอกับความท้าทายใหม่ที่ดอกเบี้ยระยะยาวซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการระดมทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน และอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจจริงในที่สุดหากอัตราดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยระยะสั้นหรือยาวปรับตัวสูงขึ้นเร็วเกินไปและส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงอาจมีความจำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องพิจารณาเครื่องมือนโยบายเพิ่มเติมอื่น ๆและให้ทิศทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อตลาดการเงินเพื่อลดแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยลง

ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการประกาศใช้กองทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพของพันธบัตร (Bond Stabilization Fund)หรือเป็นกองทุนที่คอยรับซื้อพันธบัตรที่มีความเสี่ยงไม่สามารถชำระหนี้คืนได้นับเป็นความตั้งใจที่ดีในการช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไม่ให้ลุกลามเป็นปัญหากับทั้งระบบแต่เป็นข้อที่น่าสังเกตว่าในปีที่ผ่านมากลับยังไม่มีบริษัทมาใช้เลยแม้ในมุมหนึ่งอาจสะท้อนว่าผลกระทบต่อธุรกิจไม่รุนแรงมากจนขนาดต้องมาใช้กองทุนนี้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นสัญญาณว่ากฎเกณฑ์ในการเข้าใช้ที่มีความรัดกุมมากจนธุรกิจไม่กล้าเข้าไปใช้ในปีนี้ที่ความเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพกำลังจะกลับมาอีกครั้งหากเกิดขึ้นเป็นปัญหารุนแรงจะเป็นเรื่องสำคัญที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องทบทวนและเตรียมการให้พร้อมก่อนปัญหาจะมาถึงแม้ว่าปัญหาเหล่านี้อาจจะเป็นความท้าทายระยะสั้นของเศรษฐกิจไทย ที่เกิดขึ้นจากพัฒนาการในต่างประเทศ

อย่างไรก็ตามปัญหาเศรษฐกิจไทยที่โตได้ช้า การส่งออกที่โตได้ช้าและปัญหาความสามารถในการแข่งขันของประเทศดูเหมือนจะเกิดขึ้นมาก่อนหน้าโควิด-19และอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวและจะหายไปเมื่อโควิด-19 จบลง KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทรประเมินว่าในเวลานี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของเศรษฐกิจไทยถึงเวลาที่ไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อก้าวไปข้างหน้า ในโลกที่มีความท้าทายมากขึ้นไปกว่าเดิม





ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ททท. x TikTok หนุนครีเอเตอร์ ร่วมฝึกคน ททท. เล่าเรื่องเมืองไทย เพิ่มรายได้เข้าท้องถิ่น

เจาะความร่วมมือระหว่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ TikTok ในด้านวิธีส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ทั้งการดึงครีเอเตอร์ทั้งไทยและเทศ มามีส่วนร่วมมากขึ้น, การพั...

Responsive image

True IDC จับมือ Siam AI Cloud ยกระดับ AI Ecosystem ไทยสู่ระดับโลก

ทรู ไอดีซี และ สยามเอไอคลาวด์ ร่วมมือพัฒนาระบบนิเวศ AI ของไทย ครอบคลุมดาต้าเซ็นเตอร์ AI โมเดล และบริการ AI-as-a-Service มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคอย่างยั่งยืน...

Responsive image

OpenAI ปล่อย ChatGPT o1 ตัวเต็ม เจาะกลุ่ม STEM ใช้ได้บน ChatGPT Pro ราคาราว 6,800 บาท

OpenAI ฉลองเทศกาลคริสต์มาส 2024 ด้วยแคมเปญพิเศษ "12 Days of OpenAI" เปิดตัวโมเดล o1 และ ChatGPT Pro พร้อมอัปเดตความสามารถใหม่ รองรับการใช้งาน AI ขั้นสูงสุดในอุตสาหกรรมต่าง ๆ...