มจธ. จับมือ SEAC ดันเรียนออนไลน์เข้าระบบมหาวิทยาลัยให้ผู้เรียนมีวิชาเลือก นำไปใช้ได้จริง | Techsauce

มจธ. จับมือ SEAC ดันเรียนออนไลน์เข้าระบบมหาวิทยาลัยให้ผู้เรียนมีวิชาเลือก นำไปใช้ได้จริง

มจธ. จับมือ SEAC  ร่วมโชว์พันธกิจยกระดับการศึกษา “สร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)” เดินหน้าเพื่อยกระดับและสร้าง “กำลังคนคุณภาพ” สู่ตลาดแรงงานไทยและภูมิภาคอาเซียน ผสานทักษะ Hard Skills และ Hyper-Relevant Skills เรียกได้ว่าการร่วมมือกันครั้งนี้เป็นอีกโอกาสและการเปลี่ยนเเปลงที่ดีของการศึกษาไทย ที่ไม่ใช่เเค่การเรียนออนไลน์  

โดยทั้งสองสถาบันจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-degree) ทั้งในรูปแบบ หลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-degree) ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E – learning) ระบบออนไลน์(Online Learning ) แบบห้องเรียน (Classroom Learning) และรูปแบบอื่นๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมายหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ นักศึกษา บุคลากรในภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม และบุคคลทั่วไป โดยมุ่งเน้นการยกระดับและสร้างกำลังคนคุณภาพที่ผสมผสานทั้งทักษะด้าน Hard Skills (ความรู้เชิงเทคนิค) และ  Hyper-Relevant Skills (ความรู้และทักษะที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน) ให้เป็นที่ต้องการสู่ตลาดแรงงานไทยและภูมิภาคอาเซียน ผ่านการจัดรูปแบบการเรียนรู้ที่คล่องตัว ทันสมัยและตรงกับความต้องการของผู้เรียนที่หลากหลายมากขึ้น

ข้อดีของการร่วมมือกันนอกจากเสริมสร้างทักษะจากหลักสูตรนอกมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาได้เลือกเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ เเล้วหากเป็นวิชาที่มีความร่วมมือกันระหว่างคณะเเละ SEAC ซึ่งตรงกับการหน่วยกิจของคณะ นักศึกษาสามารถนับเป็นหน่วยกิจได้  ในกรณีบุคลากรในภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม และบุคคลทั่วไปที่สนใจสมัครเรียนออนไลน์หากเลือกที่จะเรียนเพื่อจบปริญญาตรี สามารถสะสมหน่วยกิจร่วมได้เเต่ต้องดูระเบียบข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยว่าวิชาที่จะลงเรียนออนไลน์นั้นมีการเข้าร่วมหรือตรงกับคณะที่ต้องการยื่นของปริญญาหรือไหม หากสะสมหน่วยกิจจากการลงเรียนออนไลน์ได้ตามกำหนดของมหาวิทยาลัย สามารถยื่นหลักฐานเพื่อขอรับปริญญาจาก มจธ. ได้เหมือนนักศึกษาภาคปกติ เเต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยซึ่งหากสนใจสามารถสอบถามได้ที่มหาวิทยาลัยโดยตรง  

การร่วมมือกันครั้งนี้นับได้ว่าตรงกับความตั้งใจของทางมหาวิทยาลัยในการเปิดหลักสูตรตามใจผู้เรียนซึ่ง ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาที่ต้องการได้ เเละทางมหาวิทยาลัยเองก็มีวิชาที่หลากหลาย และตอบโจทย์ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปรวมถึงนักศึกษาเเละคนทั่วไปสามารถนำวิชาความรู้ไปต่อยอดในการทำงานได้ รวมถึงการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กว้างขึ้นโดยลดข้อจำกันเรื่องสถานที่เรียนเเบบเดิมๆ เปลี่ยนมาเน้นเรียนผ่านเเพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลที่หลากหลายมากขึ้นได้เข้าศึกษาต่อไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน การร่วมมือกันครั้งนี้ทำให้มหาวิทยาลัยได้ทำตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ 

ในกรณีที่นักศึกษาและบุคคลทั่วไปที่ต้องการเรียนเสริมทักษะเป็นคอร์สออนไลน์ทั่วไปที่อาจไม่ตรงกับทางคณะหรือสาขาที่กำลังเรียนเพื่อเก็บหน่วยกิจยื่นขอปริญญาตรี สามารถเลือกเรียนวิชาหรือทักษะทั่วไปของ SEAC ได้เมื่อเรียนจบคอร์สจะได้รับใบประกาศใบประกาศนียบัตรเพื่อใช้ในการสร้างประวัติต่อไปได้ เเต่ในกรณีนี้อาจไม่สามารถนับเป็นหน่วยกิจได้หากไม่ตรงกับหลักสูตรที่ต้องการยื่นจบปริญญาตรี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนเเปลงได้ต้องรอติดตามเเนวทางเพิ่มเติมกันต่อไป

ในขณะนี้การร่วมมือกันในการสร้างหลักสูตรเเละการเรียนออนไลน์ยังอยู่ในกระบวนการสร้างซึ่งทางทีมงานกำลังเร่งดำเนินการให้ทันเพื่อเปิดรับการเรียนในยุค New Normal นี้

รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า "โลกยุคใหม่ต้องการนิยามใหม่ของ “นักศึกษา” โครงสร้างประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้นและยังมีศักยภาพ หรือคนในวัยทำงานกว่า 38 ล้านคนก็ต้องการยกระดับศักยภาพของตนเองเพื่อให้ให้ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนตลอดเวลา มหาวิทยาลัยจึงเปิดโอกาสให้ทุกคนมาเรียนรู้ทักษะใหม่ (reskill) หรือ ต่อยอดยกระดับทักษะ (up-skill) ซึ่งมหาวิทยาลัยจะมองแต่ผู้เรียนที่จบ ม.6 ไม่ได้ แต่ต้องมองคนที่อยู่ในระบบการทำงานแล้วด้วย 

เพราะคนทุกคน  มีความหมายและเป็นผู้นำที่สามารถสร้างงานที่มีคุณค่าและมูลค่ามากขึ้นกว่าเดิมและเป็นประโยชน์ให้สังคมได้ สมการใหม่ของระบบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยจะผ่านพ้นกรอบของ “เวลา” แบบเดิมๆ คือนอกจากมิติของอายุของนักศึกษาที่นับจากนี้จะเปิดรับผู้เรียนรู้ทุกช่วงวัยหลายเจเนอเรชั่นแล้ว รูปแบบหลักสูตรการเรียนการสอนก็จะไม่ถูกจัดแบ่งเป็นภาคการศึกษา จำนวนหน่วยกิต รวมทั้งวิธีการวัดผลด้วยการสอบแบบเดิมก็ต้องปรับตามไปด้วย"

คุณอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC (Southeast Asia Center) กล่าวว่า “ด้วยโจทย์พันธกิจของ SEAC ในเรื่อง EMPOWER LIVING เรายังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพของคนไทยผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเพิ่มคุณค่าและตอบโจทย์ทุกเป้าหมายของการใช้ชีวิตให้คนไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ สถานการณ์ปัจจุบันหลายอย่างสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ คือเรื่องการยกระดับศักยภาพและพัฒนาทักษะของคนไทยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน (Hyper-relevant Skills) เพื่อเป็นพลวัตรสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรและประเทศไปข้างหน้า 

เราจึงเดินหน้าสรรหาพันธมิตรที่มีมาตรฐาน มีความเชี่ยวชาญและมีเจตนารมณ์เดียวกับเราเพื่อร่วมกัน Reskill และ Upskill ซึ่งจุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นที่จุดประกายให้ทั้ง มจธ. และ SEAC ต้องการร่วมกันพัฒนาหลักสูตรที่จะสามารถพัฒนานักศึกษา หรือสร้างนักศึกษาที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่โลก ของการทำงานให้พร้อมทั้งวิชาชีพ และวิชาชีวิต ทั้ง Mindset และ Skillset ที่จะนำไปสู่โอกาสมากมายในการทำงาน ช่วยให้สามารถประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้ในมหาวิทยาลัยกับบริบทที่จะได้เจอจากการทำงาน สร้างให้คนเหล่านี้เป็น Preferred Choices หรือเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อช่วยให้เติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศ”

"การจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน ต้องเน้นสร้างศักยภาพให้ผู้เรียนเอาความรู้มาใช้ทำงานและประยุกต์กับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา มนุษย์เรามีทักษะต่างกัน ต้องการระยะเวลาเรียนต่างกัน เราจะดูให้เขาเรียนจนทำได้และทำเป็น ซึ่งการวัดผลก็จะเป็นตามวิทยฐานะ (Credentials) ว่าทักษะของนักศึกษาในระดับนี้ทำอะไรได้และในคุณภาพอย่างไร ซึ่งที่สุดของการออกนอกกรอบของเวลาก็คือการเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มหาวิทยาลัยจะพร้อมรองรับคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก ถึงวัยหลังเกษียณ จะมีการเรียนการสอนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา ผู้สนใจ ใฝ่รู้ หรือ แม้แต่ผู้ที่ทำงานอยู่แล้ว ขาดวุฒิ ก็เข้าที่มหาวิทยาลัยได้ เพื่อหาสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง ไม่จำเป็นต้องมาเป็นนักศึกษาแบบเดิมๆ คือ 4-5 ปี ต่อจากนี้ ผู้สนใจจะเข้ามาเรียนเมื่อสนใจ  ได้ทักษะและก็ออกไปทำงาน เมื่อทำงานคิดว่าต้องการทักษะเพิ่มขึ้น ก็กลับมาเรียนเพิ่มได้เรื่อยๆ เป็น Lifetime University คือ “มหาวิทยาลัยเพื่อให้การเรียนรู้ตลอดชีวิต” รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย กล่าว

คุณอริญญา กล่าวเสริมว่า “SEAC มุ่งมั่นให้คนไทยสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิตมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการ “ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ SEAC เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต” นั้น SEAC ภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาขีดความสามารถคนไทยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักศึกษา หรือจะเป็นกลุ่มบุคลากรในภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม และบุคคลทั่วไปที่จะมาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการเรียนรู้ตลอดชีวิตในโครงการนี้ นอกจากนั้นเรายังมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญและทักษะการสอนของเราที่ตอบโจทย์โลกปัจจุบัน 

เพื่อร่วมสร้างและพัฒนานักวิจัยไทย นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) อาจารย์เกื้อหนุนสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist Facilitator) ที่ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มอาชีพที่สำคัญต่อโลกอนาคตและมีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงต่ออัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ให้มีศักยภาพและคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล ทั้งนี้นอกจากเราจะมุ่งพัฒนาคนไทยแล้ว เรายังมีแผนจะร่วมมือกันเดินหน้าเพื่อขยายฐานผู้เรียนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน  ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย” 

ความร่วมมือเป็นพันธมิตรกันระหว่าง มจธ และ SEAC มีขอบเขตภายใต้โครงการ “สร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)” เป็นระยะเวลา 3 ปี ระหว่างวันที่ 18 มิถุนายน 2563 – 17 มิถุนายน 2566 โดยในปีแรกจะมีโครงการนำร่องภายในประเทศ อาทิ ร่วมมือกันออกแบบคอร์สเพื่อสร้างกลุ่มอาชีพใหม่ป้อนภาคการศึกษา ได้แก่ Online Instructional Designer (นักออกแบบการสอนแบบออนไลน์), Virtual Learning Facilitator (อาจารย์เกื้อหนุนสำหรับการเรียนแบบออนไลน์) และ Data Scientist Facilitator (อาจารย์เกื้อหนุนด้าน Data Science)

นอกจากนี้ ยังมีแผนการพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรด้าน Business Mindset ให้กับบุคลากรสายวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ซึ่งทักษะและแนวคิดด้านธุรกิจเป็นส่วนสำคัญที่ควรถูกเติมเต็มให้กับกลุ่มบุคลากรสายนี้ รวมทั้ง ยังมีแผนการใช้หลักสูตรออนไลน์สำหรับจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการจัดการห้องเรียนภายใต้นโยบาย Social Distancing เป็นต้น สำหรับปีต่อๆ ไป ทั้งมจธ. และ SEAC มีแผนบุกตลาดประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดเส้นแบ่งเขตแดนของการศึกษาและแรงงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพของกำลังคนให้มีคุณภาพทัดเทียมกัน เพิ่มขีดความสามารถของแรงงานในภูมิภาค และจะแสวงหาความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำของโลกต่อไป

การลงนามความร่วมมือนี้นับเป็นก้าวสำคัญของวงการศึกษาและวงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในหลายๆ มิติ  ที่สถาบันการศึกษาของภาครัฐจับมือกับองค์กรด้านการเรียนรู้ภาคเอกชนเพื่อร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกำลังคนคุณภาพให้กับประเทศไทย ผสานความเข้มแข็งของทั้งสององค์กร ลดปัญหาแรงงานไม่มีคุณภาพ หรือ การผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการ รวมทั้งปัญหาการว่างงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สภาดิจิทัลฯ ผนึกกำลังรัฐบาล ตั้งเป้าดันไทยสู่ Digital Hub แห่งอาเซียนภายใน 3 ปี

ในขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเร่งพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัล ประเทศไทยก็ไม่ยอมนิ่งนอนใจ ล่าสุดสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (สภาดิจิทัลฯ) นำโดย ...

Responsive image

OpenAI ท้าชน Google เปิดตัว ChatGPT Search พลัง AI ใช้ง่าย แม่นยำ ทันสมัย พร้อมใช้งานวันนี้

OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ค้นหา ChatGPT Search ท้าชน Google ในตลาด Search Engine ด้วยความสามารถที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว แม่นยำและให้ข้อมูลที่ทันสมัย พร้อมให้ใช้งานจริงได้แล้ววันนี้!...

Responsive image

ทำไมสิงคโปร์ ถึงกลายเป็นที่ลงทุนด้าน Deep Tech จากทั่วโลก ?

แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่การลงทุนเกิดการชะลอตัว แต่ไม่ใช่สำหรับ ‘สิงคโปร์’ ที่กำลังผงาดขึ้นอย่างเงียบๆ ในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน “Deep Tech” ซึ่งเป็...