
มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การนำของ ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดี ได้เผยวิสัยทัศน์ใหญ่เตรียมรับมือ Future Trend 2026 ด้วยการประกาศแผน "Medical Disruption" พร้อมเม็ดเงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าวงการแพทย์ไทย
ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา ชี้ให้เห็นว่าไทยกำลังเจอ Pain Point ด้านสาธารณสุขอยู่ทั้งหมด 3 ด้านใหญ่ ได้แก่
ต้นทุนสุขภาพ - สังคมผู้สูงวันที่ทำให้รัฐต้องแบกรับค่ารักษาโรคเรื้อรังมหาศาล บางคนมีหลายโรคร่วมกัน ทำให้การรักษามีความซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูง รวมทั้งไทยยังต้องพึ่งพาเทคโนยีการแพทย์ และการนำเข้ายาจากต่างประเทศ
ขาดแคลนหมอ - ไทยมีแพทย์เพียง 1 คนต่อประชากร 2,000 คน (WHO แนะนำให้มีแพทย์ 1 คนต่อประชากร 2,000 คน) บางจังหวัด เช่น บึงกาฬ มีแพทย์ 1 คนจาก 5,000 คน นอกจากนี้ ไทยยังเจอปัญหาแพทย์ลาออกเฉลี่ยปีละ 455 คนเนื่องจากภาระความต้องการที่ใช้บริการทางการแพทย์อย่างหนักหน่วง โดยคาดการณ์ว่าในปี 2569 จะมีคนเข้ารับบริการ 40.5 ล้านครั้ง หรือเข้าพบแพทย์ 3 ครั้งต่อปี ทำให้สถานการณ์หมอไม่เพียงพอต่อคนไข้น่าเป็นห่วงอย่างมาก
คนไทยป่วยง่าย - ขาด Health Literacy เน้นรักษาปลายเหตุมากกว่าป้องกัน ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาในระบบสุขภาพไทย เช่น พฤติกรรมการบริโภคที่เสี่ยงต่อโรค การขาดความรู้ความเข้าใจในการป้องกันโรค

จากปัญหาเหล่านี้นำมาสู่โครงการ Medical Disruption เพื่อเตรียมความพร้อมระบบสาธารณสุขไทย อุดรอยรั่วและความเปราะบางของโครงส้รางสุขภาพในปัจจุบัน พร้อมกับยกระดับให้สุขภากลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ (Wellness Economy) โดยจะขับเคลื่อนผ่าน 4 เทคโนโลยีสำคัญแห่งอนาคตที่มีความสำคัญต่อวงการแพทย์ ได้แก่
โดยจะเร่งการพัฒนา Medical AI ยกระดับการดูแลสุขภาพแบบแม่นยำรายบุคคลโดยใช้ฐานข้อมูลการแพทย์ของไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือกับ NVIDIA ในการสนับสนุนฮาร์ดแวร์ GPU และ Software สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มูลค่าเทียบเท่า 1,000 ล้าน
โดยจะมีการจัดตั้งสถาบันปัญญาประดิษฐ์มหิดล และนักพัฒนาวิจัยระดับปริญญาเอกด้าน AI ไม่น้อยกว่า 1,000 คน รวมถึงมีการนำซอฟต์แวร์จาก NVIDIA มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมวิจัยยาใหม่ รวมถึงการประมวลผลข้อมูลสุขภาพหลายมิติของคนไทย
โดยจะขับเคลื่อนงานวิจัยในระดับโลกโดยเฉพาะในเรื่องของการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์โดยเน้นไปที่ ‘ไตหมู’ เนื่องจากคนรอเปลี่ยนไตมีหลักแสน แต่คนบริจาคมีน้อยมาก มหิดลจึงร่วมมือกับ NZeno Limited ผู้นำเทคโนโลยีตัดต่อยีนหมูจากนิวซีแลนด์ และ Betagro เพื่อร่วมกันศึกษาวิจัย และพัฒนา สร้างต้นแบบหมูตัดต่อยีนที่เหมาะสมกับการปลูกถ่ายในมนุษย์
โดยคาดว่าโปรเจ็กต์นี้จะสำเร็จ และใช้ได้จริงใน 5-9 ปี ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณฟอกไต้ของประเทศที่สูงถึง 16,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในด้าน Xenotrasplantation
โดยจะมีการสร้างโรงงานยาที่มีชีวิตเพื่อผลิตยากลุ่ม ATMP (Advanced Therapy Medicinal Products) ซึ่งเป็นยาที่ใช้เซลล์มนุษย์ดัดแปลงยีนในการรักษาโรค เช่น ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว และพาร์กินสัน
โดยทางมหาวิทยาลัยมหิดล จะลงทุนก่อสร้างโรงงาน ATMP ขนาดกลางที่ศาลายา ด้วยงบประมาณกว่า 1,300 ล้านบาท ร่วมกับบริษัทสยามไอโอไชเอนซ์ โดยโรงงานแห่งนี้จะทำหน้าที่ผลิตและขยายกำลังการผลิตยา ATMP ตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายใน 18 เดือนถึง 2 ปี
โดยจะยกระดับสมุนไพร และเห็ดด้วยวิทยาศาสตร์ สกัดสาร Bio-active compounds ซึ่งเป็นสารสำคัญทางชีวภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกร และตอบโจทย์เทรนด์ Wellness ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
โดยมหาวิทยาลัยมหิดล จะมุ่งพัฒนานวัตกรรมตั้งแต่การสกัดสารบริสุทธ์ การศึกษาทางคลินิก และการสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งนอกจากจะสร้างมาตรฐานใหม่
ทิศทางดังกล่าวสะท้อนความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะสถาบันชั้นนำที่ไม่เพียงสร้างองค์ความรู้ แต่ยังนำวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และความเชี่ยวชาญระดับโลกสู่การปฏิบัติจริง เกิดเป็น “Real World Impact in Action” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและนวัตกรรมระดับนานาชาติอย่างมั่นคงและยั่งยืน
อ้างอิง : medi.co.th, mahidol
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด