Merck & Co บริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติอเมริกัน ได้ยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการต่อองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่ออนุญาตใช้ยาเม็ดต้านไวรัสโควิด-19 ที่มีชื่อว่า molnupiravir (โมลนูพิราเวียร์) โดยจะใช้กับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 วัยผู้ใหญ่ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง
การยื่นขออนุมัติครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผลการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ของ Merck & Co พบว่ายาโมลนูพิลาเวียร์สามารถลดโอกาสของการเสียชีวิต หรือการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 มีอาการรุนแรงได้ประมาณ 50% ยาโมลนูพิราเวียร์จะช่วยลดอาการผู้ป่วยโควิด-19 โดยยาจะไปยับยั้งการทำสำเนาของไวรัสโควิด-19 ไม่ให้กระจายไปทั่วร่างกาย
นอกจากนี้ ยาโมลนูพิราเวียร์มีลักษณะแตกต่างจากยา remdesivir ของ Gilead Sciences ที่ปกติใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาล ในขณะที่ยา remdesivir ต้องให้รักษาทางหลอดเลือด ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นยาเม็ดที่รับประทานได้เลย ซึ่งหากได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ ก็จะกลายเป็นยาชนิดแรกที่สามารถรักษาโควิด-19 ได้ผ่านการรับประทาน และจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อการระบาดครั้งนี้
คาดการณ์ว่าหากยาโมลนูพิราเวียร์ได้รับอนุมัติจาก FDA อาจใช้รักษากับชาวอเมริกันได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้ และทางบริษัทได้ยอมรับว่าจะผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ให้กับทางสหรัฐฯ ในจำนวน 1.7 ล้านคอร์ส ในส่วนของราคายา สื่อ New York Times เผยว่าราคายาสำหรับการรักษา 5 วันอยู่ที่ 700 ดอลลาร์สหรัฐต่อผู้ป่วย 1 ราย แม้ว่าวัคซีนโควิด-19 จะเป็นตัวเลือกสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสและหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ดีที่สุด ผู้เชี่ยวชาญยังหวังว่าความสำเร็จจากการพัฒนายาโมลนูพิราเวียร์จะช่วยลดจำนวนคนติดเชื้อและป้องกันปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลได้
นอกจาก Merck & Co จะเป็นผู้พัฒนายาเม็ดต้านโควิด-19 แล้ว ทาง Pfizer เองอยู่ระหว่างการพัฒนายาเม็ดโควิด-19 ร่วมกับ BioNTech ด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้ภายในช่วงสิ้นปี 2021
อ้างอิง CNBC
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด