อว. เปิดตัวโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล เดินหน้าสร้างรากแก้วที่แข็งแรงให้แก่ประเทศ

หากจะพูดถึงรากฐานที่สำคัญของประเทศอีกกลุ่มคงจะหนีไม่พ้นเหล่าเยาวชน นิสิตนักศึกษา ที่จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญเราจะต้องมีรากฐานที่ดีและมั่นคงมีความพร้อมที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบันที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ได้จัดโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล หรือ U2T เดินหน้าสร้างรากแก้วที่แข็งให้แก่ประเทศ

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาวิกฤต COVID-19 ไม่ได้มีเพียงปัญหาด้านสาธารณะสุขเท่านั้น แต่อีกหนึ่งปัญหาที่รัฐบาลควรหาแนวทางแก้ไขควบคู่ไปพร้อมกันคือปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันหลายภาคส่วนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ส่งผลให้นักศึกษาจบใหม่หลายรายเข้าสู่ภาวะการว่างงาน รวมถึงเหล่าชุมชนในต่างจังหวัดหลายพื้นที่ยังไม่สามารถหาทางออกจากปัญหานี้ได้เอง ดังนั้น อว.จึงได้จัดโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล หรือ U2T ภายใต้งบลงทุน 10,000 ล้านบาท โดยจะส่ง บัณฑิตและนักศึกษารวมถึงอาจารย์ในมหาวิทยาลัย จำนวน 60,000 ราย โดยแบ่งเป็นบัณฑิตจบใหม่ไม่เกิน 3 ปี 30,000 ราย นักศึกษาชั้นปีที่ 3-4 จำนวน 15,000 ราย จากมหาวิทยาลัย 76 แห่ง และประชาชนอีก 15,000 ราย เข้าไปให้ความรู้แก่ประชาชนตามตำบลต่างๆ 3,000 แห่งทั่วประเทศ จากทั้งหมด 7,900 แห่ง 

เป้าหมายการจัดโครงการ 

ประการแรก

สำหรับโครงการส่งนักศึกษาลงสู่ตำบลมีมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่เคยมีโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล ซึ่งวันนี้เราจะมาสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ โดยคณะอาจารย์จะต้องลงพื้นที่ไปกับ บัณฑิตและนักศึกษาเพื่อให้ความรู้และการต่อยอดความรู้ในอนาคตด้วย เพื่อให้เกิดความยั่งยืน พูดง่ายๆคือเราจะไม่สอนให้ประชาชนสามารถจับปลาได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสอนให้เลี้ยงปลาชั้นดี และหาแหล่งขายปลาให้ด้วย และหากโครงการนี้สามารถประสบความสำเร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด 1 ปี ทาง อว.ก็มีแผนที่จะนำโครงการดังกล่าวเข้าสู่พื้นที่ในตำบลต่างๆเพิ่มอีก 4,900 แห่ง เพื่อให่ครบทั้ง 7,900แห่งทั่วประเทศ 

ประการที่ 2 

สำหรับโครงการดังกล่าวจะให้บัณฑิต นักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างปฏิบัติงานลงพื้นที่โดยจะเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อทำ  Big Data  ของประเทศเพื่อนำมาวิเคราะห์และจัดการกับปัญหาของแต่ละพื้นที่ให้ถูกต้อง โดยจุดนี้จะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม หรือแพลตฟอร์มต่างๆ 

ประการที่ 3 

หลังจากจบโครงการในระยะเวลา 1 ปีแล้ว  บัณฑิตและนักศึกษาจะต้องมีความรู้และทักษะเพิ่มเติมเพื่อพร้อมรองรับต่อตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการใช้เทคโนโลยี ทักษะการเงินการลงทุน ทักษะภาษาอังกฤษ รวมถึงฝึกฝนการเข้าสังคมด้วยเช่นกัน 

' ตอนนี้บอกเลยว่าเราได้พามหาวิทยาลัยออกจากหอคอยงาช้างแล้ว เราจะต้องทำงานแบบท้าทายตัวเอง ไม่ใช้เช้าชามเย็นชาม ผมมองว่าแบบนั้นมันง่ายเกินไป ซึ่งความท้าทายและความกดดันต้องมีอย่างสร้างสรรค์ หรือ Positive Thinking มีความคิดเชิงบวกไม่กลัวปัญหามองวิกฤตและปัญหาที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้พัฒนาตัวเอง ' ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าว 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไมดุสิตธานีขาดทุน 5 ปี เปิดเบื้องหลังที่คนไม่รู้ กับแผนยอมเจ็บเพื่อ Reset ธุรกิจ

เปิดเบื้องหลัง 5 ปีที่ดุสิตธานีขาดทุนและไม่จ่ายปันผล กับแผนรีเซตองค์กรครั้งใหญ่ สู่การเติบโตระยะยาวผ่านโครงการ Dusit Central Park และกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง...

Responsive image

เทคโนโลยีใหม่! แค่ตรวจเลือดก็รู้ผลอัลไซเมอร์ได้แบบไม่ต้องสแกน

การวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์อาจไม่ต้องพึ่ง PET scan หรือการเจาะน้ำไขสันหลังอีกต่อไป! เพราะตอนนี้มีการตรวจเลือดแบบใหม่ ที่ใช้วัดสัดส่วนของโปรตีนในเลือด ที่สามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยมีแนวโน้...

Responsive image

งานเข้า! งานวิจัย Stanford ชี้ Chatbot 'นักบำบัด' ไม่ได้ฮีลใจ แต่กำลังพาไปสู่หายนะ

ผู้คนหันมาใช้ Chatbot เป็น 'นักบำบัด' มากขึ้น แต่เทคโนโลยีพร้อมสำหรับบทบาทนี้แล้วหรือยัง? งานวิจัยล่าสุดจาก Stanford ฟันธงว่า 'ยังไม่พร้อมอย่างสิ้นเชิง' สำหรับความรับผิดชอบนี้...