ผลดำเนินงานในปี 2566 ถือเป็นปีที่พีคสุดๆ ของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการและการท่องเที่ยวที่ดำเนินกิจการใน 63 ประเทศ เพราะธุรกิจเติบโตขึ้น 3 เท่า มีผลกำไรสุทธิที่ 7.132 พันล้านบาท จากการดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์
ตัวเลขดังกล่าว MINT ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรป ในขณะเดียวกัน ยังได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างแข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 4 ของปี 2566 MINT เผยผลการดำเนินงานประจำปีจากธุรกิจหลักในทุกภาคส่วน ด้วยผลกำไรจำนวน 2.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงถึงร้อยละ 77 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
หากดูที่การดำเนินธุรกิจโรงแรม MINT มีหลายโมเดลธุรกิจ ทั้งแบบที่เป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยปัจจุบันมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท มากกว่า 530 แห่ง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ รวม 55 ประเทศ
ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ด รายงานยอดขายโดยรวมทุกสาขาในปี 2566 เติบโตร้อยละ 11 โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการรับประทานอาหารภายในร้าน ซึ่งถ้าดูจำนวนร้าน บริษัทมีร้านอาหารกว่า 2,600 สาขา ใน 24 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, คอฟฟี่ เจอนี่ และ กาก้า กับร้านอาหารพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กว่า 1,000 สาขา เช่น S&P, เบรดทอล์ค
และอีกธุรกิจของ MINT คือ การจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ภายใต้แบรนด์ อเนลโล่, เบิร์กฮอฟฟ์, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, โจเซฟ โจเซฟ, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์ และ ไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ตลอดจนกลยุทธ์ด้านการเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และการตลาดของธุรกิจในทุกประเทศ
การเติบโตจากรายได้และกำไรสุทธิยืนยันถึงความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายของ MINT และความสามารถในการใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเชิงบวกในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและร้านอาหารทั่วโลก ตลอดจนการจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ผลิตภาพที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตสู่กำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง
เฉพาะรายได้จากห้องพักในเดือนมกราคมและรายได้จากการจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม สูงกว่าในปี 2566 ถึงร้อยละ 39 สำหรับประเทศไทย และร้อยละ 20 สำหรับทวีปยุโรป
พัฒนาการที่ผ่านมาของ MINT เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อการขยายธุรกิจสู่เวทีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่สำคัญระดับนานาชาติ อาทิ การเพิ่มโรงแรมรับจ้างบริหาร 3 แห่งในกรุงปารีสภายใต้ เอ็น เอช และ เอ็นเอช คอลเลคชั่น การเปิดตัวโรงแรมหรูภายใต้ อนันตรา ในกรุงเวียนนา และการเปิดตัวของ เอ็นเอช คอลเลคชั่น ในเฮลซิงกิ นอกจากนี้แผนการขยายโรงแรมที่แข็งแกร่งของ MINT ยังรวมการเปิดตัวของ อนันตรา และ อวานี ในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ควบคู่ไปกับการเปิดโรงแรมใหม่ในตลาดตะวันออกกลางที่ MINT มีการเติบโตอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแผนการเปิดตัวโรงแรมรับจ้างบริหารในประเทศจีนหลายแห่งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
ในส่วนของ ไมเนอร์ ฟู้ด ยังเสริมความแข็งแกร่งในอาเซียนด้วยการเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ภายใต้ ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยิ่งไปกว่านั้น MINT ได้เข้าซื้อกิจการแดรี่ ควีน เพื่อดำเนินงานในอินโดนีเซีย และเปิดตัว เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ และกาก้า ทั้งนี้แผนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดภายในกลุ่มอาเซียน
คุณดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวด้วยความตื่นเต้นถึงความสำเร็จที่บริษัทได้รับโดยกล่าวว่า “ผมมีความยินดีที่จะรายงานผลประกอบการที่ดีเยี่ยมของเราสำหรับปี 2566 รายงานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทและการทำงานอย่างเต็มที่ของทีมเราทุกคนใน 63 ประเทศ สำหรับก้าวต่อไปเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การขยายอาณาจักร ส่งเสริมการเติบโตแบบยั่งยืน และการลดหนี้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียกับบริษัทในระยะยาว”
เราไม่กังวลเรื่องเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ การขึ้นค่าแรง แต่เรากังวลเรื่อง 'คน' เพราะช่วงโควิดมีคนออกจากงานจำนวนมาก แต่หลังโควิด การท่องเที่ยวเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาก ผู้คนใช้จ่ายมากขึ้น Demand ด้านคนจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แขกของเราใช้จ่ายเยอะขึ้นจริงๆ Service Charge ก็พุ่งตาม เราจึงต้องการดึงคนกลับมาฝึกทักษะเพิ่ม และมั่นใจด้วยว่าปี 2567 นี้ MINT จะยิ่งเติบโตมากกว่าปี 2566 โดยหวังว่าจะทำกำไรได้มากกว่าเดิม 20%
คุณดิลลิปยังเปิดเผยอีกว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า MINT จะลงทุนอีกราว 30,000 ล้านบาท โดยในกลุ่มธุรกิจโรงแรมจะเน้นการ Renovate, Repositioning และ Rebrand ส่วนธุรกิจร้านอาหารก็จะพาแบรนด์ไปขยายตลาดในหลายประเทศ เช่น แดรี่ควีน ที่เริ่มทำตลาดในอินโดนีเซียแล้ว และตั้งเป้าให้แดรี่ ควีน โตในอินโดนีเซียอีก 10 เท่า นอกจากนี้ก็มี มาเลเซีย อินเดีย ที่เตรียมขยายตลาดร้านอาหารต่อไป
ดังนั้น เป้าหมายใน 3 ปี ข้างหน้าของ MINT ไม่เพียงแต่จะเพิ่มส่วนของกำไรแต่จะมีส่วนเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ เงินสดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในแผนการลดหนี้ โดยตั้งเป้าไปที่การลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567 กลยุทธ์ดังกล่าวในสภาวะดอกเบี้ยสูงจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท สถานะการเงินของ MINT ที่แข็งแกร่งขึ้นจะสามารถส่งเสริมให้บริษัทมุ่งเน้นไปที่โอกาสสำคัญในการเติบโตด้วยการผสมผสานกับการเติบโตด้วยรูปแบบ Asset light คือ การรับจ้างบริหาร บริษัทจึงไม่ต้องลงทุนเอง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด