นอกจากไวรัสโควิด-19 ที่มีการกล่าวขานถึงมาโดยตลอด นาทีนี้ก็มีเชื้อโรคตัวใหม่ที่มาแรงไม่แพ้กันซึ่งนั่นก็คือ "โรคฝีดาษลิง" ที่ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกว่าจะเกิดการระบาด

โดยกรมควบคุมโรค ระบุว่า ฝีดาษลิงไม่ใช่โรคใหม่ แต่เคยระบาดมาแล้วมากกว่า 20 ปี โดยพบผู้ป่วยรายแรกที่แอฟริกา ซึ่งโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสอีกหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสที่ทำให้เกิดฝีดาษในคนหรือไข้ทรพิษ (variola virus) ไวรัสที่นำมาผลิตวัคซีนป้องกันฝีดาษในคน (vaccinia virus) และฝีดาษวัว (cowpox virus)
โดยเชื้อไวรัสฝีดาษลิง พบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า เป็นต้น และยิ่งไปกว่านั้น โรคฝีดาษลิง ยังสามารถติดต่อไปยังมนุษย์ได้อีกด้วย แม้ว่าจะพบได้ไม่บ่อยก็ตาม แต่อาจอันตรายถึงชีวิต
ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะพบในพื้นที่ห่างไกลในประเทศทางตอนกลางและตะวันตกของทวีปแอฟริกา ใกล้บริเวณที่เป็นป่าดิบชื้น โดยมีไวรัสสองสายพันธุ์หลักคือ แอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก
ปัจจุบันพบผู้ที่ติดเชื้อแล้วใน 15 ประเทศ โดยมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 คน ไม่ว่าจะเป็น สเปน โปรตุเกส แคนาดา อังกฤษ เบลเยียม เยอรมนี อิตาลี ออสเตรเลีย อิสราเอล สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย
ผู้ป่วยจะแสดงอาการของโรคหลังติดเชื้อประมาณ 12 วัน อาการเบื้องต้นมีหลายอย่าง โดยอาการเริ่มแรกคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น เจ็บคอ อ่อนเพลียและซึม ทั้งนี้เมื่อไข้ทุเลาลง อาจเกิดผื่นขึ้น มักจะเริ่มจากบนใบหน้าก่อน จากนั้นจะลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1-3 วันจะมีผื่นขึ้นบริเวณขาและฝ่ามือ และอาจเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย และผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา และรอยโรคนี้อาจทำให้เกิดแผลเป็นตามมา โดยที่อาการป่วยจะกินเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ โดยอาการรุนแรงมักพบในกลุ่มเด็ก ซึ่งในประเทศแอฟริกาพบอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 10
เชื้อฝีดาษลิงติดต่อกันอย่างไร ?จากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด, สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน รอยแตกบนผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ หรือผ่านทางตา จมูก ปาก อีกทั้งการประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ หรือ อาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย ทั้งนี้การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อยแต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ เมื่อคนรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน อาจนานถึง 21 วัน
1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือสัตว์ป่า
2.หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ
3.ล้างมือบ่อยครั้ง ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์เมื่อสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ หรือเดินทางเข้าไปในป่า
4.ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการคัดกรองโรค
5.กรณีมีการเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที และทำการแยกกักเพื่อมิให้ผู้ป่วยมีการแพร่กระจายเชื้อ
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงที่เฉพาะเจาะจง แต่สามารถควบคุมการระบาดได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ 85%
โดยก่อนหน้าที่จะกวาดล้างไข้ทรพิษได้นั้นมีการฉีดวัคซีนหรือที่เรียกกันว่าการปลูกฝี ซึ่งจะช่วยป้องกันทั้งสองโรคนี้ได้เด็กที่เกิดหลังปี 2523 จะไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษมาก่อน จึงเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคฝีดาษลิงมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ
ทั้งนี้ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เกี่ยวกับการ การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง(MONKEYPOX) ว่า การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง (MONKEYPOX) จะช่วยบ่งชี้ว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ใด เหมือนหรือต่างจากสายพันธุ์ที่เคยระบาดในอดีต และที่กำลังระบาดในปัจจุบัน และอาจกลายพันธุ์แพร่ระบาดได้ในอนาคตสามารถนำข้อมูลจีโนมไปใช้ในการป้องกัน
เช่นการพัฒนาวัคซีน การพัฒนายาต้านไวรัสใช้ในการรักษา รวมทั้งการติดตามการระบาดเพื่อช่วยตอบคำถามมากมาย เช่นทำไมจึงมีการระบาดของโรคฝีดาษลิงพร้อมกันกว่า 100 รายในหลายประเทศนอกทวีปแอฟริกา(ซึ่งถือเป็นโรคประจำถิ่น) ทั้งในทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ และ ทวีปออสเตรเลีย เป็นต้น
ดังนั้นการตรวจวินิจฉัยไวรัสก่อโรคฝีดาษลิงทางห้องปฏิบัติการด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯพร้อมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสจากสิ่งส่งตรวจ และเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองตัวอย่างส่งตรวจจำนวนมากหากมีการระบาดใหญ่ของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิงในอนาคต
ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯจึงพัฒนาการตรวจสอบ 40 ตำแหน่งบนจีโนม (massarray genotyping)ของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง (เพื่อป้องกันผลบวกและผลลบปลอม) ใช้เวลาในการพัฒนาประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อแล้วเสร็จสามารถตรวจคัดกรองไวรัสก่อโรคฝีดาษลิงได้ภายใน 48 ชั่วโมงหมายเหตุ การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง
และการพัฒนาการตรวจจีโนมของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง 40 ตำแหน่ง เป็นทั้งงานวิจัยและการดำเนินการเพื่อปิดช่องว่าง(ชั่วคราว)ในขณะที่ยังไม่มีชุดตรวจ PCR ต่อไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง ผ่าน อย. เป็นการดำเนินการอยู่เฉพาะที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ เท่านั้น มิได้มีการผลิตเป็นชุดน้ำยาออกจำหน่ายเชิงพาณิชย์แต่ประการใด
เร่งพัฒนาชุดตรวจด้วยเทคโนโลยี Massarray genotyping ให้แล้วเสร็จในอีก 2 สัปดาห์
ล่าสุดมีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิงในโปรตุเกสและเบลเยียมได้สำเร็จ ซึ่งทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯได้ใช้รหัสพันธุกรรมดังกล่าวเป็นพิมพ์เขียวในการสร้างชุดตรวจจีโนมไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง 40 ตำแหน่งพร้อมกันเพื่อป้องกันการเกิดผลบวก หรือผลลบปลอม (ต่างจาก PCR ซึ่งตรวจจีโนมได้ 1-2 ตำแหน่ง) ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 24 ชั่วโมงด้วยเทคโนโลยี “Massarray genotyping”
สามารถตรวจได้ 100 ตัวอย่างต่อวัน ด้วยต้นทุนการตรวจต่ำกว่าการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม โดยมีค่าใช้จ่ายและระยะเวลาที่ใช้ตรวจไม่ต่างจากการตรวจ PCR ที่ใช้ตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯคาดว่าจะสามารถพัฒนาชุดตรวจด้วยเทคโนโลยี Massarray genotyping ได้แล้วเสร็จในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ จากนี้
อ้างอิง กรมควบคุมโรค, Center for Medical Genomics
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด