สตาร์ทอัพ VPN ของลิทัวเนีย ขึ้นแท่นยูนิคอร์น หลังรัสเซียปิดกั้นการใช้อินเทอร์เน็ตของพลเมือง | Techsauce

สตาร์ทอัพ VPN ของลิทัวเนีย ขึ้นแท่นยูนิคอร์น หลังรัสเซียปิดกั้นการใช้อินเทอร์เน็ตของพลเมือง

บริษัท Nord Security สตาร์ทอัพผู้พัฒนาเครือข่าย VPN ที่รู้จักกันในชื่อ  NordVPN  ได้เงินระดมทุนเพิ่มอีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ Valuation พุ่งแตะระดับ 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นแท่นยูนิคอร์นรายที่ 2 ของประเทศลิทัวเนีย

บริษัท Nord Security สตาร์ทอัพผู้พัฒนาเครือข่าย VPN ที่รู้จักกันในชื่อ  NordVPN  ได้เงินระดมทุนเพิ่มอีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ Valuation พุ่งแตะระดับ 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นแท่นยูนิคอร์นรายที่ 2 ของประเทศลิทัวเนีย

สำหรับ VPN หรือ Virtual Private Networks คือสิ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ระบุตัวตน และช่วยให้สามารถเข้าใช้งานในเว็บไซต์หรือบริการต่างๆที่ถูกบล็อกภายในประเทศได้ เหมือนกับผลิตภัณฑ์ประเภท VPN ของบริษัทอื่นๆ เล่น Turbo VPN และ UFO VPN

บริษัท Nord Security ก่อตั้งที่ประเทศลิทัวเนีย เมือง Vilnius ในปี 2012 ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 1,700 คน และกำลังรับสมัครเพิ่มอีก 200 คน ทางบริษัทเคลมว่าตนเองเป็นบริษัท Tech ที่ใหญ่ที่สุดใน Vilnius ซึ่งมีประชากรกว่า 5 แสน คน จากประชาการทั้งหมด 2.8 ล้านคนในลิทัวเนีย

นักลงทุน Nord Security มาจาก Novator Ventures, Burda Principal Investments, General Catalyst และมี angel investors ซึ่งเป็น co-founders ของ Vinted แพลตฟอร์มขายเสื้อผ้ามือสองซึ่งเป็นบริษัท Tech อีกเพียงบริษัทเดียวของลิทัวเนียที่มูลค่ามากกว่า 1พันล้านเหรียญสหรัฐ 

Tom Okman, co-CEO และ co-founder of Nord Security กล่าวกับ CNBC ว่า นี่คือครั้งแรกที่บริษัทได้รับการระดมทุนจากภายนอก ซึ่งงบประมาณที่เพิ่มขึ้นนี้จะช่วยให้ Nord Security ขยาย  footprint ออกไปได้เพิ่มขึ้นจาก 20 ประเทศที่กำลังให้บริการ และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆได้มากขึ้น

นอกจาก NordVPN  (อัตราค่าบริการอยู่ที่ 140 ดอลลาร์ต่อปี หรือ 12 ดอลลาร์ต่อเดือน) ผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้หลักของบริษัทคือ 

  • NordPass : password manager  
  • NordLocker : encrypted cloud storage

บริษัทมีผู้ใช้งานกว่าหนึ่งล้านคนทั่วโลก แต่ Okman ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด และปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายได้ของบริษัท เขาเพียงกล่าวว่า บริษัทมีการเติบโตกว่า 5 เท่าจากห้าปีที่ผ่านมา และตลาดที่ทำรายได้สูงที่สุดอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และ เยอรมันนี

Nord Security สตาร์ทอัพที่มาพร้อมกับโอกาสเติบโตในรัสเซียและจีน

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ชาวรัสเซียได้ใช้ VPN ในการหลีกเลี่ยงการควบคุมทางอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดขึ้นจากสงครามรัสเซีย - ยูเครน 

อินเทอร์เน็ตในรัสเซียถูกควบคุมมาหลายปี แต่แพลตฟอร์มต่างๆของสหรัฐ เช่น Facebook Twitter และ Google ยังสามารถใช้ได้อยู่ ไม่เหมือนประเทศจีนที่ทุกอย่างถูกบล็อกโดยสมบูรณ์อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 4 มีนาคม รัสเซียได้ทำการบล็อก Facebook แล้ว และกำลังจะบล็อก Twitter และ Google ตามมา

ผู้ร่วมก่อตั้ง Nord Security กล่าวว่าเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ บริษัทเห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในรัสเซียหลังจากที่ประเทศถูกรุกราน แต่ขณะนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสั้นๆ เพราะเมื่อมีการคว่ำบาตรเกิดขึ้น digital purchase จะได้รับผลกระทบ

Birgir Már Ragnarsson หนึ่งในคณะกรรมการของ Nord Security กล่าวในแถลงการณ์ว่า การรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ต้องการแนวทางใหม่ทั้งหมดเพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทางโลกจากการขยายกฎระเบียบด้านข้อมูลและภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ

“Nord Security อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการส่งมอบและนำเข้าสู่ยุคใหม่ของการรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตด้วยชุดเครื่องมือความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่ทรงพลังและดีที่สุด ซึ่งออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูล บัญชี และเครือข่าย” Ragnarsson กล่าว

อ้างอิง : CNBC

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ไม่ยอมขายแอป ก็โดนแบน สหรัฐฯ จ่อแบน TikTok หวั่นเป็นภัยความมั่นคงชาติ

สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายแบน TikTok แล้ว บังคับบริษัทแม่ ByteDance ต้องขายแอปภายใน 1 ปี มิฉะนั้นจะถูกแบนในสหรัฐฯ ด้านซีอีโอ TikTok ประกาศกร้าว พร้อมท้าทายกฎหมาย ไม่ไปไหนทั้งนั้น...

Responsive image

KBank ผนึก J.P. Morgan เปิดโปรเจกต์ Carina ใช้บล็อกเชน ลดเวลาทำธุรกรรมจาก 72 ชั่วโมงเหลือ 5 นาที

Kbank ร่วมกับ J.P. Morgan Chase Bank เปิดตัวโปรเจคต์นวัตกรรมคารินา (Carina) ลดระยะเวลาการทำธุรกรรม จากที่ใช้เวลา 72 ชั่วโมงเหลือเพียงแค่ 5 นาที...

Responsive image

Apple Vision Pro ขายไม่ดีอย่างที่คิด Apple ลดคาดการณ์ยอดขายกว่าครึ่ง ปรับแผนใหม่

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สาย Apple เผยว่า Apple ได้ลดตัวเลขยอดขาย Apple Vision Pro ในปีนี้เหลือเพียง 400-450,000 เครื่องเท่านั้น ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ (มากกว่า 700–800,000 เครื่อง)...