ผู้ให้บริการระบบชำระเงินผ่านออนไลน์อย่าง PayPal ออกแถลงการณ์ระบุว่าได้เข้าซื้อบริษัทสตาร์ทอัพด้าน Fintech สัญชาติสวีเดนที่มีชื่อว่า 'iZettle' ด้วยเงินจำนวน 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นที่เรียบร้อย การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ถือเป็นการซื้อกิจการครั้งใหญ่ของ PayPal เลยก็ว่าได้
บริษัท iZettle สตาร์ทอัพผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ด้านการเงินสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ระบบการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน เป็นหนึ่งในบริษัท Startup ที่เป็นที่รู้จักในยุโรป ให้บริการใน 9 ประเทศแถบยุโรปตะวันตก รวมไปถึงในบราซิลและเม็กซิโก
การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ถือเป็นการซื้อกิจการครั้งใหญ่ของ PayPal เลยก็ว่าได้ โดยการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก iZettle ประกาศว่ากำลังจะมีแผนเตรียมเปิดระดมทุนแบบ IPO ต่อมา 11 ชั่วโมงหลังจากนั้นก็เกิดเปลี่ยนใจ โดย Jacob de Geer CEO และ Co-Founder ของ iZettle ถึงกับเขียนข้อความเพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่า
“เมื่อเรากำลังดำเนินกระบวนการมาถึงขั้นสุดท้ายของการระดทุนแบบ IPO ทาง PayPal ก็ได้ติดต่อเข้ามาและแสดงความสนใจใน iZettle อย่างจริงจัง” เขากล่าว “การเข้าร่วมกับครอบครัว PayPal ครั้งนี้ ทำให้ iZettle ได้ทำงานร่วมเหล่าผู้มีพลังมากมาย และเราจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามวิสัยทัศน์ของเราได้อย่างแท้จริง”
iZettle คาดว่าในปี 2018 จะมีรายได้ประมาณ 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประมาณการว่ามีเงินประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านเข้าออกในแพลตฟอร์มของ iZettle ซึ่งข่าวการเข้าซื้อกิจการของ PayPal ทำให้หุ้นของ Square คู่แข่งรายใหญ่ของ iZettle (ก่อตั้งโดยผู้ก่อตั้ง Twitter อย่าง Jack Dorsey) ลดลงไปทันที 5 เปอร์เซ็นต์
Jacob de Geer และ Magnus Nilsson เปิดตัวบริษัท iZettle เมื่อปี 2010 ซึ่งชื่อของบริษัทเกิดจากการรวมกันระหว่างคำว่า "I" กับ "Settle" เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทต้องการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องหนี้ เคยมีนักลงทุนจากบริษัทใหญ่ๆ อย่าง American Express, MasterCard และ Intel Capital เคยมาร่วมลงทุนด้วย และก่อนหน้านี้ยังมี Zouk Capital, Index Ventures และ 83North เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท
กรุง Stockholm ในประเทศสวีเดน เป็นที่รู้จักว่าเป็นเมืองด้านสตาร์ทอัพที่ร้อนแรงที่สุดในยุโรป เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา Spotify ก็เปิดระดมทุน IPO ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ และบริษัทด้าน Fintech ในสวีเดนอีกรายอย่าง Klarna ก็เพิ่งมีมูลค่าบริษัทพุ่งไปถึง 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก Forbes
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด