“กระบวนการคิดเชิงออกแบบ” หรือ “Design Thinking” เริ่มกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นเมื่อ 'ลี เซียน ลุง' นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ (ลูกชาย 'ลี กวน ยู') ระบุว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่ผลักดันให้สิงคโปร์ที่เริ่มจากศูนย์กลายเป็นประเทศแถวหน้าของโลก ฝากคนรุ่นใหม่นำ Design Thinking มาใช้กับทุกกระบวนการในการทำงาน
นักศึกษาจาก Singapore University of Technology and Design (SUTD) มหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบเป็นแห่งที่ 4 ในสิงคโปร์ จัดงานเสวนาในชื่อ SUTD Ministerial Forum 2018 ภายใต้หัวข้อ "A Better Nation By Design"
งานเสวนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษาและศิษย์เก่าได้ผู้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้บริหารจากรัฐบาลสิงคโปร์ในประเด็นที่มีผลกระทบต่อสิงคโปร์โดยตรง
โดย ลี เซียน ลุง (Lee Hsien Loong) นายกรัฐมนตรีประเทศสิงคโปร์ ได้ขึ้นพูดเพื่อเปิดงานเสวนานี้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
นายกฯ สิงคโปร์ได้พูดถึงการสร้าง “กระบวนการคิดเชิงออกแบบ” หรือ “Design Thinking” ที่ดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ประเทศสิงคโปร์เปลี่ยนจากประเทศโลกที่สามขึ้นมาเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก และ Design Thinking มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของสิงคโปร์ รวมถึงจะทำให้สิงคโปร์ยังสามารถเป็นประเทศชั้นนำของโลกได้ต่อไป
โดย 'ลี เซียน ลุง' กล่าวถึง 'ลี กวน ยู' อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของสิงคโปร์ผู้ล่วงลับไป (และยังเป็นบิดาของนายกฯ สิงคโปร์ผู้นี้อีกด้วย) ว่า “สิงคโปร์เป็นชาติที่มาจากการออกแบบหรือ Design ขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดในสิงคโปร์ที่เป็นอยู่ในวันนี้ เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นมาด้วยตัวเอง เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจ การยืนอยู่ในแถวหน้าในระดับโลก ความสามัคคีของหลากหลายเชื้อชาติ ซึ่งเชื้อชาติของพวกเราก็ไม่ได้มาจากสิงคโปร์ตั้งแต่แรก”
“ตอนนั้นยังไม่มีคำว่า Design Thinking แต่พ่อของเขาเข้าใจประเด็นต่าง ๆ, กำหนดขอบเขตของปัญหาที่มีอยู่, ออกแบบ-วิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์, ร่างไอเดียต้นแบบขึ้นมา และทบทวนแนวคิด-วิธีแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง”
“นั่นคือสาระสำคัญของ Design Thinking” นายกฯ สิงคโปร์กล่าว
นายกฯ สิงคโปร์ยังกล่าวต่อว่า ถึงเวลาที่สร้างและปรับภาพลักษณ์ของประเทศอีกครั้งด้วยการจัดสรรให้เกิดพื้นที่ใหม่ ๆ ในสิงคโปร์ ส่วนพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาแล้วก็จะพัฒนา ใหม่ให้ดียิ่งขึ้น และทันสมัยขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การย้ายฐานทัพอากาศ 'พายา เลบาร์' (Paya Lebar) ไปอยู่ที่ชางงี (Changi) ที่ลีระบุว่าเป็น “การโยกย้ายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้” ถึงแม้จะใช้เวลาในการย้ายมากถึง 15 ปี แต่ก็ทำให้ได้พื้นที่คืนมาเพื่อพัฒนาใหม่มากกว่า 8 ตารางกิโลเมตรด้วย
นอกจากนี้การย้ายฐานทัพอากาศในครั้งนี้ ทำให้กฎการจำกัดความสูงของอาคารและสิ่งก่อสร้างในแถบภาคตะวันออกถูกยกเลิกไปด้วย จากเดิมที่ถูกจำกัดความสูงของอาคารเนื่องจากมีฐานทัพอากาศอยู่ในพื้นที่ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่องมากขึ้น
“ถึงแม้การโยกย้ายนั้นจะใช้เวลานานถึง 50 ปีหรือมากกว่านั้น แต่มันก็ทำให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นได้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่าไม่มีข้อจำกัดในการจินตนาการสิ่งต่าง ๆ อย่างแท้จริง” เขากล่าว
นายกฯ สิงคโปร์ยังเน้นย้ำเพื่อให้เห็นความสำคัญในการกล้าคิด มองการณ์ไกลในระยะยาว และพัฒนา “แผนเชิงวิสัยทัศน์” หรือ “Visionary Plan” เพื่อให้สิงคโปร์ในปีที่ 50 (SG50) ก้าวสู่สิงคโปร์ปีที่ 100 (SG100) ให้มีสภาพแวดล้อมที่โดดเด่น สร้างเมืองที่มีการวางแผนที่ดี มีเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นเมืองสีเขียว และเป็นเมืองที่มีความยั่งยืน
นอกจากนี้เขายังฝากให้นักศึกษานำ “Design Thinking” ในทุกขั้นตอนของการทำงานอีกด้วย
“ในไม่ช้า ก็ถึงตาของพวกคุณที่จะมาวางผัง เขียนร่าง ออกแบบพิมพ์เขียวและแผนแม่บท[ของประเทศ] เพื่อสร้างทางเดินและเส้นขอบฟ้าอันใหม่ต่อไป ผมหวังว่าผมหวังว่าใน Generation ของพวกคุณ คุณจะได้เรียนรู้ทักษะและสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อนำมาออกแบบ สร้าง และบริหารสิงคโปร์ในวันข้างหน้าต่อไป” นายกฯ สิงคโปร์ กล่าว
ดูคลิปที่นายกฯ สิงคโปร์ พูดเต็ม ๆ ได้ที่ YouTube ของ Prime Minister's Office, Singapore (มี Subtitle ภาษาอังกฤษ)
อ้างอิงข้อมูลจาก ChannelNewsAsia , The Strairs Times และ The New Paper
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด