เปลี่ยนมุมมองนักออกแบบนโยบายว่านวัตกรรมเป็นเรื่องทางสังคม | Techsauce

เปลี่ยนมุมมองนักออกแบบนโยบายว่านวัตกรรมเป็นเรื่องทางสังคม

Thailand Policy Lab หรือห้องปฏิบัติการนโยบายของประเทศไทยมองว่า หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ถูกจุดที่สุด คือการปรับทักษะของนักวางแผนนโยบายทั่วประเทศ ที่เป็นคนกำหนดและวางแผนนโยบายซึ่งมีผลต่อชีวิตทุกคนตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ จึงได้จัดงาน Policy Innovation (PIX) โดยนำนักออกแบบนโยบายตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงระดับผู้บริหารกว่า 800 คนทั่วประเทศ มาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนทักษะใหม่ๆ กับแล็บทั่วโลก ที่อยู่ในแวดวงการออกแบบนโยบายและสร้างนวัตกรรมโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำนโยบายของไทยทั้งระบบ

เวลาได้ยินคำว่า “นโยบาย” หลายคนคงรู้สึกเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องของนักการเมือง และเป็นเรื่องชวนฝันที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ นั่นอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาภาคประชาสังคมไม่ได้มีโอกาสเข้าไปมีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายมากนัก 

การมีส่วนร่วมและเสียงของประชาชนอันหลากหลายจึงนำไปสู่สร้างการรับฟังที่ดีและสร้างการรับรู้ถึงความแตกต่างที่มีอยู่ในสังคมได้ในทุกมิติ เช่น ถ้าไม่มีผู้พิการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบนโยบายเรื่องขนส่งสาธารณะ พวกเขาก็อาจเป็นผู้ได้รับผลกระทบซึ่งส่งแรงกระเพื่อมต่อไปอีกมาก ไม่ได้หยุดอยู่ที่พวกเขากลุ่มเดียว ดังที่นักออกแบบนโยบายเหล่านี้เล่าให้เราฟัง

ความสำเร็จเพิ่มได้เมื่อมองนวัตกรรมให้เป็นเรื่องทางสังคม

อาจมีบางครั้งที่เรารู้สึกว่านวัตกรรมคือประดิษฐกรรมเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะต้องใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเป็นตัวตั้งและสร้างสรรค์กระบวนการการแก้ไขตรงประเด็น โดยมีวิทยาศาสตร์เป็นตัวช่วย เช่น วิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ แต่ถ้าหากลองปรับมุมคิดสักนิดก็จะรู้ทันทีว่าการมองนวัตกรรมให้เป็นสังคมศาสตร์นั้นลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรได้มาก และเพิ่มความสำเร็จได้เป็นอย่างดี

Gina Belle ผู้อำนวยการมูลนิธิ Chôra ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาและสนับสนุนด้านนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์หรือการเปลี่ยนแปลงระบบนวัตกรรม เธอมีโอกาสร่วมงานกับ UNDP ตลอด 2 ปีครึ่งที่ผ่านมาโดยใช้แนวคิดใหม่ในการสร้างนโยบายและแนวทางแก้ปัญหาใหม่ๆ สำหรับรัฐบาลในประเทศต่างๆ และพันธมิตรด้านการพัฒนา นั่นก็คือกระบวนการ “Portfolio”

“ก่อนที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ หมายถึงปัญหาเกิดมาแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งแปลว่าปัญหาเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนไปแล้วในทุกๆ ด้าน และมักไม่หยุดอยู่กับที่ ซึ่งถ้าหากเรามีข้อมูลของปัญหานั้นไม่มากนัก ก็จะเกิดการแก้ไขที่ไม่มีวันสิ้นสุด” Gina พูดถึงกระบวนการคิดและที่มาของ Portfolio

“Portfolio จะช่วยคัดกรองความซับซ้อนและแก้ไขความไม่แน่นอนได้ผ่านการเรียนรู้ที่ต้องเข้าใจและคิดให้ได้” เธออธิบายต่อ “อย่างแรกก็คือต้องต่อต้านอคติเล็กๆ น้อยๆ ของมนุษย์ เพราะนั่นเป็นความรู้สึกที่ห้ามได้ยาก ซึ่งเมื่อเราเข้าใจปัญหาไม่ว่าในระดับองค์หรือระดับประเทศ ก็จะสามารถกำหนดแนวทางมาตรฐานในการดำเนินงาน ซึ่ง Portfolio เป็นเหมือนกระดานปาเป้าที่ทุกคนพยายามจะบรรลุเป้าหมายโดยมีการประเมินผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ พวกเราจึงเชื่อในการลงมือทำที่ต้องดึงทั้งองค์ความรู้เดิมและมองหาองค์ความรู้ใหม่เข้ามาประยุกต์ ผลลัพธ์ที่ได้คือกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันที่มีคุณค่าของทุกคน และยังสร้างต้นแบบจากการทดลองก่อนเริ่มต้นจริง”

Gina ยกตัวอย่างโครงการหนึ่งซึ่งทำร่วมกับ UNDP นั่นก็คือการพัฒนามนุษย์ในประเทศมาลาวีซึ่งเป็น 1 ใน 15 ประเทศที่ถูกพัฒนาน้อยที่สุด “เราได้สร้าง Portfolio ขึ้นมา 2 ชุดโดยหนึ่งในนั้นคือเรื่องธรรมาภิบาล และเราได้เข้าช่วยสนับสนุนการกำกับดูแลและสร้างผลกระทบเชิงบวกเพื่อการพัฒนา ความสำคัญคือเราต้องรู้ว่าปัญหาคืออะไร และทำไมถึงอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น เพราะการทำงานกับปัญหาที่ซับซ้อนต้องอาศัยความคิดจากหลายปัจจัยและมองเป็นภูมิทัศน์ของการกระทำ”

หลังจากประชุมเชิงปฏิบัติ พวกเขาชวนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไตร่ตรองเอกสารระดับประเทศและเอกสารเชิงกลยุทธ์อื่นๆ สำหรับประเทศมาลาวี เพื่อแยกและค้นพบปัญหาและองค์ประกอบหลักของปัญหาจากความซับซ้อนทั้งหมดซึ่งพบว่ามีตัวเลือกมากกว่า 6 ทางเลือกหลังจากการพูดคุย ไม่ว่าจะเริ่มแก้ไขในแนวทางใดก่อน แต่ 6 ทางเลือกนี้ถือว่าเป็นพลวัตใหม่ๆ ในพื้นที่ของปัญหา และยังเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการออกแบบกิจกรรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในการแก้ไขปัญหาต่อไป

สิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ Portfolio “เป็นภาพสะท้อนที่สำคัญและจำเป็นต้องมีการพูดคุยด้านกลยุทธ์ระดับต่างๆ ของระบบโครงสร้างเพื่อค้นหาจุดแทรกแซงที่สามารถเร่งการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี และจำเป็นต้องออกแบบนโยบายเชิงรุกที่ต้องเดินหน้าให้สุดทางเพื่อสร้างความสามารถใหม่ๆ และแนวทางการแก้ไขใหม่ๆ กับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น อนาคตของการท่องเที่ยวในโลกที่ยังคงมีโควิด 19 อยู่ หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที และควรให้ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ปฎิบัติงานตามระบบก็ตาม” Gina ย้ำประโยคสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องการมีส่วนร่วมของทุกคนในสังคม

แนวคิดเชิงนวัตกรรมทางสังคมเกิดขึ้นได้จากการร่วมมือหลายภาคส่วน

“ผู้คนในชุมชนไม่ได้ต้องการเพียงแค่สิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต แต่พวกเขาคิดว่าสิ่งอำนวยความสะดวกแต่ละอย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาอย่างไร” หนึ่งในคำพูดจากการบรรยายของ Warren Luk ประธานเจ้าหน้าที่ The Good Lab ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรผู้ทำหน้าที่สร้างนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมบนเกาะฮ่องกง และดำเนินโครงการนวัตกรรมทางสังคมเพื่อค้นหาและทดลองแนวทางต่างๆ ในการพัฒนาชีวิตผู้คนในชุมชน

แน่นอนว่า The Good Lab ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นลำดับแรก งานที่ถนัดของพวกเขาคืออำนวยความสะดวกในการเจรจาระหว่างภาคประชาสังคม รัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และบริษัทเอกชนบางแห่ง Warren เล่าตัวอย่างโปรเจกต์ที่เขากับทีมเคยทำเพื่อชี้ให้เห็นภาพของงานที่พวกเขากำลังทำอยู่ว่า “ตอนปี 2012 The Good Lab ได้มีโอกาสไปร่วมออกแบบและสร้างพื้นที่ในชุมชนที่ชื่อ “เชิงสุ่ย” ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฮ่องกง ปัญหาก็คือมีโรงบำบัดน้ำเสียไปตั้งอยู่ตรงนั้นจนส่งกลิ่นเหม็นและทำให้น้ำสกปรกซึ่งส่งผลกระทบกับชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นมากๆ ไม่ใช่เพิ่งจะเกิด แต่ชาวบ้านต้องทนอยู่กับมลพิษแบบนี้มาไม่น้อยกว่า 30 ปี”

ภารกิจของพวกเขาไม่ใช่เรียกให้คนมาคุยกันแล้วจบไป แต่มีการตั้งเป้าหมายไว้กับโปรเจกต์นี้คือ ปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อม เก็บข้อมูลเกี่ยวกับจุดบกพร่อง และทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ ซึ่งปัญหาที่กินระยะเวลามาเนิ่นนานนั้นยากที่จะแก้ให้สำเร็จในเวลาอันสั้น หากแต่ไม่เริ่มก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ “เราผลักดันกันอย่างจริงจังอีกครั้งในปี 2019 โดยรวบรวมพันธมิตรในทุกภาคส่วนและใช้แนวทางการคิดเชิงออกแบบที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง” 

“พวกเราเริ่มจากการติดต่อผู้คนในท้องถิ่นเพื่อทำความเข้าใจประเด็นและปัญหาที่พวกเขาต้องประสบ ค้นหาว่าความต้องการแท้จริงที่มีต่อชุมชนของพวกเขาคืออะไร อยากให้ชุมชนพัฒนาไปในทิศทางไหน โดยจะเอาคำตอบที่ได้มาสร้างสรรค์วิธีการแก้ไขปัญหากับกลุ่มพันธมิตรผ่านการเวิร์กช้อปและสร้างต้นแบบขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อให้คนในชุมชนได้เห็นว่าสิ่งนี้จะตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างแม่นยำเกี่ยวกับโรงบำบัดน้ำเสียในอนาคต”

จากการร่วมทำกระบวนการของหลายฝ่าย พวกเขาพบว่า “ผู้คนในชุมชนไม่ได้ต้องการเพียงแค่สิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต แต่พวกเขาคิดว่าสิ่งอำนวยความสะดวกแต่ละอย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาอย่างไร ฉะนั้นการแก้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องสถานที่อย่างเดียว แต่มันเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตของคนในท้องถิ่นด้วย จึงควรคำนึงถึงวิธีการเชื่อมโยงสิ่งอำนวยความสะดวกกับผู้คนด้วยความใส่ใจ และเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา”

จากกรณีศึกษานี้ The Good Lab ใช้เวลาอีก 6 เดือนในการสร้าง “แนวคิดเชิงนวัตกรรมทางสังคม” ขึ้นมาโดยเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายๆ ฝ่ายมาคุยกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนให้ดีขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบจากทุกด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจหรือสังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขายังสร้างชุดกิจกรรมขึ้นมาเพื่อสร้างต้นแบบชุมชนให้มีระบบนิเวศน์ที่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ สิ่งที่ The Good Lab เชื่อคือการมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่มตามคำพูดที่ Warren ทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากเดินเร็วให้เดินคนเดียว ถ้าอยากเดินให้ไกล จงเดินไปด้วยกัน”

การเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรมในประเทศไทยต้องการการผลักดัน

เมื่อมองกลับมาที่เมืองไทย การจัดวงเสวนาเพื่อพูดถึงปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในทุกที่ แต่บ่อยครั้งมักจะเป็นเพียงร่างนโยบายหรือแนวความคิดเท่านั้นเพราะขาดการผลักดันจากผู้มีอำนาจซึ่งเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้แนวทางเหล่านั้นเป็นจริงได้ วิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 และการจัดการปัญหาที่ไม่ทันท่วงทีจึงเป็นโอกาสอันดีที่เราทุกคนจะได้กลับมาทบทวนและปรับปรุงนโยบายต่างๆ พร้อมเสริมนวัตกรรมร่วมสมัยเข้าไปเพื่อเสริมโครสร้างของประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ให้กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตอย่างที่เคยเป็นมา

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ กรรมการบริหารสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติเป็นอีกหนึ่งผู้บรรยายในงานที่จะมาทบทวนบทบาทและการมีอยู่ของหน่วยงานด้านนวัตกรรมระดับรัฐ เพื่อเน้นย้ำว่ายังคงมีองค์กรจากภาครัฐที่สนับสนุนและทำงานด้านนวัตกรรมอยู่ แม้จะมีอุปสรรคต่างๆ ซึ่งเกิดจากลักษณะเฉพาะของสังคมไทย และทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เมืองไทยตกขบวนของการพัฒนาในศตวรรษที่ 21

“เรามองเห็นถึงโอกาสของการเปลี่ยนแปลงทางด้านนวัตกรรมที่จะมาถึงในทศวรรษนี้ซึ่งต้องส่งผลต่อปัจจัยสำคัญต่างๆ ในการดำรงชีวิตของประชาชนทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ทางหน่วยงานจึงมุ่งเน้นเรื่องการใช้แบบจำลองเส้นตรง (Linear Model) ของนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหลักซึ่งเรียกว่าการวิจัยและพัฒนาทางด้านวิศวกรรมและนวัตกรรม ซึ่งมีความท้าท้ายและเจอกับปัญหาที่สร้างความยากลำบากอันยืดเยื้อมาเป็นเวลาหลายปี”

ดร.พันธุ์อาจ ยกตัวอย่างของปัญหาที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่ 

  1. ความสามารถของระดับองค์กรเกี่ยวกับแนวคิดด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่ยังมีความแตกต่างกัน

  2. สมรรถภาพของมนุษย์ในวงการนวัตกรซึ่งยังต้องได้รับการผลักดันและสนับสนุนอยู่ในระบบปัจจุบัน

  3. การใช้ประโยชน์ของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านนวัตกรรมที่หน่วยงานพบว่าประชาชนยังไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร

  4. การรวมศูนย์ของโอกาสด้านนวัตกรรมในเมืองเมืองใหญ่ซึ่งยังไม่ได้กระจายลงไปยังภูมิภาค

  5. การฝ่าฝืนกฎระเบียบและระบบนวัตกรรมที่เป็นมิตรที่สามารถนำนโยบายวิทยาศาสตร์มาลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ได้

  6. หลักสากลทางด้านนวัตกรรมจากประเทศไทยซึ่งต้องอาศัยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาจากวิจัยมาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างหลักการ

  7. การสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก หมายถึงการหาหนทางและแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างละเอียดรอบคอบจากนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่จะนำพาไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ

ดร.พันธุ์อาจ เชื่อว่า “การพัฒนาและวิวัฒนาการทางด้านนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อนวัตกรรมด้านธุรกิจ นวัตกรรมภาคพื้น และนวัตกรรมสังคม เพราะผู้คนสามารถเข้าถึงด้านนวัตกรรมได้มากยิ่งขึ้น ในส่วนของภาครัฐที่จำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทร่วมทางด้านนวัตกรรม และมีวิธีแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่แตกต่างจากผู้กำหนดนโยบาย และใช้อำนาจที่มีอยู่ในการตัดสินใจและพัฒนาสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านของภาคสาธารณะ เพื่อทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น”

หลังจากได้ฟังผู้เชี่ยวชาญแบ่งปันประสบการณ์การออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพและสร้างความเปลี่ยนแปลง สุดท้ายแล้ว เราน่าจะเห็นตรงกันว่า นโยบายที่ดีต้องมีอย่างน้อย 2 องค์ประกอบสำคัญ นั่นก็คือ การมองประชาชนเป็นหัวใจของนโยบาย และการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อให้การออกนโยบายทันโลกและทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้นได้จริงนั่นเอง




ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

'บ้านปู' ประกาศกลยุทธ์ใหม่ Energy Symphonics เตรียมมุ่งสู่ปี 2030 เปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย ประกาศกลยุทธ์ใหม่ 'Energy Symphonics' หรือ “เอเนอร์จี ซิมโฟนิกส์” เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ปี 2030 เน้นการเปลี่ยนผ่านพลังงานอ...

Responsive image

Google เผยเศรษฐกิจดิจิทัลไทย โตอันดับ 2 ใน SEA มูลค่า 1.61 ล้านล้านบาท ขับเคลื่อนด้วยอีคอมเมิร์ซและการท่องเที่ยวเป็นหลัก

เศรษฐกิจดิจิทัลไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดว่าในปี 2567 มูลค่ารวมของสินค้าดิจิทัลหรือ GMV จะเพิ่มขึ้นถึง 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.61 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566...

Responsive image

AMD ประกาศลดพนักงาน ราว 1,000 คนทั่วโลก หวังเร่งเครื่องสู่ตลาดชิป AI

AMD ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ประกาศแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ โดยจะปลดพนักงานประมาณ 1,000 คน หรือคิดเป็น 4% ของพนักงานทั้งหมด 26,000 คนตามข้อมูลที่บริษัทยื่นต่อสำนักง...