Pomelo ในฐานะแพลตฟอร์มแฟชั่นแบบ Omnichannel ชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉลองวาระครบรอบ 9 ปีที่มีจุดหมายปลายทางเรื่องแฟชั่นอันดับ 1 ที่นำเสนอแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์การซื้อขายสินค้าแฟชั่นที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าในภูมิภาค
ซึ่งนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2556 Pomelo เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและมีการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการซื้อขายแบบ Omnichannel ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์ ในร้านสาขา หรือผ่านทางบริการ Tap Try. Buy.
1.ประกาศแผนการลงทุนมากกว่า 1 พันล้านบาท นับตั้งแต่ 2565 เป็นต้นไป ทั้งในด้านการตลาดและคอนเทนต์
2.เพิ่มจำนวนแบรนด์บนแพลตฟอร์มของ Pomelo จาก 500 แบรนด์เป็นมากกว่า 2,000 แบรนด์
3.เพิ่มสัดส่วนร้านสาขาขึ้นอีกเท่าตัวจาก 27 สาขาเป็น 54 สาขา
ทั้งนี้ตามรายงานของ Google ร่วมกับ Temasek และ Bain & Company เผยผลสำรวจรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าจะมีมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 โดย Social Commerce เป็นที่นิยมในหมู่คนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอันดับต้นๆได้แก่ หมวดเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆ โดยมีศักยภาพในการเติบโตสูงสุดที่ 3.1 เท่า นอกจากนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้ซื้อออนไลน์กว่า 350 ล้านคน
ด้วยข้อมูลเหล่านี้ทำให้ Pomelo เล็งเห็นโอกาสจึงได้วางแผนกลยุทธ์และการลงทุนของบริษัทในปี 2565 และปีต่อๆ ไป ด้วยการเร่งทำงานด้านการตลาดและเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับข้อมูลนี้ ควบคู่ไปกับการขยายการเติบโตของแบรนด์และการแบ่งประเภทผลิตภัณฑ์
คุณเดวิด โจว ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) และ ผู้ร่วมก่อตั้งโพเมโล แฟชั่น กล่าว ว่า ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อรูปลักษณ์ที่มั่นใจและทัศคติที่ดีต่อตนเองแก่ผู้หญิงทุกคน ผ่านผลิตภัณฑ์แฟชั่นที่มีคุณภาพ มีสไตล์ ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของเรา ดังนั้นการลงทุนในปี 2565 และปีต่อๆ ไปจะทำให้สามารถสานต่อการทำงานและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของเรา พร้อมทั้งเติมพลังให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีแฟชั่นโดยรวมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
โดย Pomelo ตั้งเป้าที่จะขยายมูลค่าธุรกรรมรวมในตลาด (GMV) ให้เติบโตขึ้น 260% ในอนาคตอันใกล้ พร้อมกับให้เติบโตขึ้น 2 เท่า รวมทั้งในปีถัดๆไปตั้งเป้าที่จะเติบโตขึ้นถึง 5 เท่า
1.ด้านการตลาด
2.ด้านคอนเทนต์
1.กลุ่มเป้าหมายใหม่ และแบรนด์ต่างๆ ซึ่งจะไม่ใช่ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ และตลาดต่างประเทศ
2.กำหนดกลยุทธ์และทีมที่ปรับให้เข้ากับแต่ละท้องถิ่น
3.สร้างเครื่องมือคิดคอนเทนต์แบบที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อัตโนมัติ และสามารถรองรับการขยายตัวได้ในอนาคต
สำหรับแบรนด์ใน Pomelo ก็ได้มีการตั้งเป้าที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีการวางแผนที่จะเพิ่มแบรนด์บนแพลตฟอร์มกว่า 2,000 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จากเดิมมีมากกว่า 500 แบรนด์ ทั้งที่เป็นแบรนด์ต่างประเทศ แบรนด์จากดีไซเนอร์ในภูมิภาคและแบรนด์จากอินสตาแกรมที่กำลังมาแรงที่สุด
และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Pomelo มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เอ็กซ์คลูซีฟและมีความหลากหลายจากหมวดหมู่แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ พร้อมเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับแบรนด์ผ่านศูนย์บริการ Dropship และ Seller Center นอกจากนี้แบรนด์ต่างๆ บนโพเมโลจะสามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโตบนแพลตฟอร์ม
1.ศูนย์ผู้ขายแห่งใหม่ (Seller Center)
2.การค้าปลีกที่เชื่อมถึงกัน (Connected Retail)
3.การทำงานแบบข้ามพรมแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA Cross Border) พร้อมฟีเจอร์ต่างๆ อีกมากมายที่พร้อมก้าวสู่อีกขั้นของการเติบโต
นอกจากนี้ บริษัทยังได้บรรลุพันธกิจในการนำแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดและตอบรับความต้องการของลูกค้ามากที่สุดในโลกมาสู่ชุมชนของ Pomelo ไม่ว่าจะเป็น Adidas, Maybelline, Cotton on และ Urban Revivo และอีกมากมายที่มาเข้าร่วมแพลตฟอร์ม
“สำหรับ Pomelo ประสบการณ์ของลูกค้าคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุดเสมอ นั่นคือที่นำเสนอบริการ Tap.Try.Buy ที่ช่วยมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริงให้กับลูกค้า พร้อมทั้งสร้างความรู้สึกของการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนสำหรับผู้ติดตามทางโซเชียลมีเดียและ #PomeloGirls ที่มีจำนวนกว่า 3 ล้านคน เนื่องจากบุคคลทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแรงบันดาลใจที่แท้จริงของเราและเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เราทำ บริการ Tap.Try.Buy. คิดเป็น 24% ของคำสั่งซื้อทั้งหมด และเป็นการเน้นย้ำว่าเราเป็นผู้นำในเรื่อง Omnichannel ส่วนคำสั่งซื้อจากช่องทางอีคอมเมิร์ซคิดเป็น 40% จากทั้งหมด” คุณเดวิด กล่าว
ขณะเดียวกัน Pomelo ได้มีการตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มร้านสาขาขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 54 สาขาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน Pomelo มีร้านสาขารวม 27 สาขา ทั้งในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งหลังการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทพบว่ามีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมทั้งที่ร้านและในแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มมากขึ้นถึง 84%
และในปี 2564 ที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอย่างเป็นทางการในประเทศฟิลิปปินส์ และเปิดร้านสาขาแห่งแรกในมาเลเซีย พร้อมกับเปิดตัวบริการ Tap.Try.Buy. at Home และเปิดตัว Prism หน่วยธุรกิจใหม่ล่าสุดที่จะช่วยหนุนพันธมิตรของแบรนด์ของเราผ่านการจัดหาโซลูชันที่หลากหลายเพื่อช่วยขยายธุรกิจของพวกเขา
ปัจจุบันรายได้ของ Pomelo 51% มาจากช่องทาง Online, 24% มาจาก Tap Try Buy ส่วน 25% มาจาก Offline
ทั้งนี้ Pomelo มีพนักงานมากกว่า 600 คนทั่วภูมิภาค โดยมีสำนักงานทั้งในประเทศไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และจีน บริษัทกำลังก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นให้พนักงานเป็นศูนย์กลาง ซึ่งบริษัทพยายามพัฒนาทั้งประสบการณ์และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอยู่เสมอ ค่านิยมหลักเรื่องการทำงานที่อยู่เหนือกาลเวลาและยั่งยืนเป็นหลักการสำคัญที่เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ที่สนับสนุนวิสัยทัศน์ สะท้อนถึงเอกลักษณ์ และกำหนดวัฒนธรรมองค์กรของ Pomelo ตลอดมา
และการที่ Pomelo ได้ตัดสินใจมาบุกตลาดในประเทศไทยนั้น คุณเดวิด มองว่า เนื่องจากประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางแฟชั่นชั้นนำ มีการนำดิจิทัลมาใช้อย่างแพร่หลายจึงถือได้ว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่พัฒนามากที่สุดรองจากสิงคโปร์
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพื่อก้าวไปข้างหน้าในฐานะบริษัทที่พร้อมสำหรับอนาคต Pomelo กำลังสร้างชุมชนที่มีความหลากหลายครอบคลุม สร้างสถานที่ทำงานแบบไฮบริด สร้างการเรียนรู้ในแบบของ Pomelo พร้อมกับสร้างงานที่มีคุณค่า เพื่อส่งเสริมการเติบโตทั้งสำหรับพนักงาน และชุมชนที่บริษัทเข้าไปดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งได้มีการมุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยปัจจุบัน Pomelo ยังถือเป็นแบรนด์ที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนสูงสุดถึง 30% อีกด้วย.
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด