SCGP ทำรายได้ครึ่งปีแรกโตต่อเนื่อง โดดเด่นไตรมาสสองที่ 37,982 ล้านบาท มองดีมานด์บรรจุภัณฑ์ในอาเซียนทยอยฟื้นตัว เพิ่มเป้าหมายรายได้เป็น 150,000 ล้านบาท
SCGP ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจ ทำรายได้จากการขายครึ่งปีแรก 74,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ของไตรมาสที่สอง 37,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของทุกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
และการรวมผลการดำเนินงานในธุรกิจที่เข้าไปลงทุน มองดีมานด์บรรจุภัณฑ์ในอาเซียนฟื้นตัวต่อเนื่อง พร้อมลุยครึ่งปีหลัง เดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว พัฒนาช่องทางขยายฐานลูกค้าที่เติบโตสูง ควบคู่กับการประสานประโยชน์ (Synergy) เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งห่วงโซ่อุปทาน ขยับเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 150,000 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.25 บาท เตรียมขึ้น XD วันที่ 8 สิงหาคมนี้
คุณวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 74,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของทุกสายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และการรวมผลดำเนินงานของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab รวมถึงปริมาณความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้น มี EBITDA เท่ากับ 10,365 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 3,514 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีรายได้จากการขาย 37,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,856 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA เท่ากับ 5,478 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 กำหนด XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2565 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 9 สิงหาคม 2565
คุณวิชาญ กล่าวต่อว่า ภาพรวมความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในครึ่งปีหลังของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากนโยบายเปิดประเทศที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความคึกคักให้กับการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภคและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงในหมวดสินค้าแช่แข็ง อาหารกระป๋อง และอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเชิงบวกต่อความต้องการบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ที่มีผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลก โดยคาดว่าราคาพลังงานครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง SCGP มุ่งสร้างการเติบโตที่มั่นคงต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายรวมในปีนี้เท่ากับ 150,000 ล้านบาท ทั้งนี้จะพิจารณาการดำเนินธุรกิจและการลงทุนด้วยความรอบคอบและเหมาะสม โดยยังคงงบลงทุนรวมในปีนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การขยายกำลังการผลิต และสร้างการเติบโตร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership : M&P)
โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 SCGP ได้ลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกเพื่อรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยอีก 75,000 ตันต่อปี และล่าสุดได้ขยายการลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ (Packaging Materials Recycling Business) ใน Peute Recycling B.V. (Peute หรือ เพอเธ่) และการลงทุนใน Imprint Energy Inc. (Imprint) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผลิตแบตเตอรี่ด้วยการพิมพ์ (Printed Battery)
โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 105 ล้านบาท และมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 3.3 เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต สามารถนำความรู้ความเชี่ยวชาญมาขยายสู่ภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคต รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะได้ด้วย
SCGP ยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามกรอบแนวคิด ESG และการก้าวไปสู่เป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 ด้วยการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ใช้พลังงานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนานวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชันที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมถึงขยายความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อน ESG
ล่าสุด SCGP ได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง บริษัท คาโอ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Kao ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและธุรกิจเคมีภัณฑ์ชั้นนำ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมและการให้ความสำคัญกับการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของสองบริษัทที่มีเป้าหมายเดียวกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างแนวทางที่ยั่งยืนสำหรับผู้บริโภค
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด