SEA Group บริษัทแม่ของ Shopee แพลตฟอร์ม e-Commerce รายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุดประกาศงบประมาณและรายได้ของไตรมาสที่ 2/2021 มีรายได้ 2,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 158% จากปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นการเติบโตของ e-Commerce ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่าจะมีการล็อกดาวน์ในประเทศต่าง ๆ ก็ตาม
SEA Group บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ค (NYSE) รายงานรายได้ที่เติบโตขึ้นในช่วง 3 เดือนตั้งแต่เมษายน-มิถุนายน ปี 2021 ที่เติบโตขึ้นอย่างมาก เป็นผลมาจากการใช้งานแพลตฟอร์ม e-Commerce ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงโควิด-19 ระบาด
แต่ถึงแม้จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้น แต่ก็มียอดขาดทุนที่สูงกว่าปีก่อนหน้า โดยในไตรมาส 2/2021 มีการขาดทุนอยู่ที่ 433 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าขาดทุนอยู่ที่ 393 ล้านดอลลาร์ การขาดทุนนี้เป็นเพราะ SEA Group ได้เดินหน้าทุ่มเงินให้กับแคมเปญทางการตลาด เพื่อที่จะสู้กับคู่แข่งที่เป็น Startup ตัวอื่น ๆ ในภูมิภาค ทั้ง Grab และ GoTo ซึ่งค่าใช้จ่ายในแคมเปญการตลาดในช่วงไตรมาส 2/2021 นี้เพิ่มขึ้น 138% เป็น 921 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบันนี้มูลค่าของ SEA ใน NYSE อยู่ที่ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงการระบาดหนักของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจของ SEA ทั้ง e-Commerce เกมออนไลน์ แพลตฟอร์มชำระเงิน เติบโตขึ้น ทำให้หุ้นในตลาดเพิ่มขึ้น 8%
สำหรับรายได้เฉพาะของบริการ e-Commerce ของ SEA นั้นเติบโต 160% อยู่ที่ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่บริการนี้จะมีใน 6 ประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการขยายฐานบริการออกไปในแถบละตินอเมริกา อย่าง ชิลี โคลัมเบีย บราซิล และเม็กซิโก
ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Grab ที่ตอนนี้เป็น Super App มีบริการทั้ง e-Commerce บริการชำระเงิน และเดลิเวอรี่ ก็ได้เตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์อเมริกาผ่านการควบรวมกับบริษัท SPAC โดย Grab คาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ถึง 4 พันล้านดอลลาร์ และในปัจจุบันนี้ทั้ง Grab และ SEA ก็กำลังเดินหน้าแข่งขันกันในเรื่องของบริการทางการเงินอีกด้วย
อีกฟากของคู่แข่งอย่าง Gojek ที่ควบรวมกับ Tokopedia เป็น GoTo และทาง Bukalapak ที่ได้ IPO ไปแล้วด้วยสถิติเป็นการ IPO ที่มูลค่าสูงสุดในอินโดนิเซีย ก็เป็นอีก 2 เจ้าที่น่าจับตามอง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด