วิกฤตโควิตที่กลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ผมนึกถึง Credit Karma สตาร์ทอัพฟินเทคที่ผมเคยทำงานด้วย เมื่อเดือนที่แล้ว Credit Karma ขายให้ Intuit ไปกว่า 2 แสนล้านบาท ความสำเร็จในวันนี้จริงๆแล้ว มีจุดเริ่มต้นจาก วิกฤตการเงินที่อเมริกาในปี 2008
ที่ประเทศอเมริกา ทุกคนจะมีคะแนนเครดิต (credit score) ซึ่งเป็นคะแนนที่บ่งบอกว่าเรามีวินัย มีความน่าเชื่อถือ และมีศักยภาพด้านการเงินขนาดไหน
ซึ่งคำนวณจากประวัติการเป็นหนี้และการชำระหนี้ของเราในอดีตประวัติการใช้บัตรเครดิตและสินเชื่อมานานขนาดไหน จำนวนบัตรเครดิตและสินเชื่อที่เรามีและสมัคร
ที่นั่นคะแนนเครดิตสำคัญมาก เวลาเราจะสมัครงานเขาก็ดูคะแนนเครดิต เวลาจะเช่าบ้านก็ถูกเรียกดูคะแนนเครดิต คนที่นั่นรู้ว่าถ้าปีหน้าจะกู้เงินสร้างบ้านแล้วอยากได้ดอกเบี้ยต่ำ จะต้องทำให้คะแนนเครดิตตัวเองดีขนาดไหน
ปัญหาคือ ข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้คนทั่วไปเข้าถึงได้ยากมากและต้องเสียเงิน
Ken Lin เห็นโอกาสตรงนี้ จึงสร้าง Credit Karma ขึ้นเพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลคะแนนเครดิตตัวเองได้ฟรี
เขาและทีมเปิดตัวเว็บไซต์ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008แต่แล้วในเดือนกันยายน วิกฤตการเงินในวอลสตรีทได้เกิดขึ้น กระทบคนหลายสิบล้านคน credit score ของพวกเขาย่ำแย่ เพราะไม่มีเงินจ่ายหนี้
พอต้องออกจากงาน พวกเขาอยากกลับไปสร้าง credit score ที่ดีอีกครั้ง พวกเขาจึงลองใช้ Credit Karma
ไม่ใช่แค่บอก credit score ให้ผู้ใช้รู้ แต่ Credit Karma ยังแนะนำวิธีเพิ่ม credit score ของผู้ใช้
เมื่อ product ที่ใช่ มาเจอกับ opportunity อันใหญ่ จำนวนผู้ใช้ Credit Karma จึงเติบโตเร็วมากในปีถัดมา จนกลายเป็นสตาร์ทอัพด้านฟินเทคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรายนึง (อ่านเรื่องราวของ Credit Karma และอีก 19 สตาร์ทอัพที่น่าสนใจที่อเมริกาที่ยังไม่มีในไทย ได้ที่หนังสือ Winning With Ideas จากหนึ่งถึงพันล้าน http://bit.ly/Winningideas)
อีกหนึ่งตัวอย่างของสตาร์ทอัพที่เกิดในช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 คือ Airbnb ที่ทุกคนรู้จักดี
สมัยก่อนไอเดียที่ให้ใครก็ได้มาอยู่ในบ้านเราคงไม่มีใครเอาด้วย แต่ด้วยวิกฤตการเงินในอเมริกา เจ้าของห้องมองหาหนทางหารายได้เพิ่ม ขณะเดียวกันคนเดินทางก็มองหาทางเลือกที่พักที่ราคาถูก ทำให้ Airbnb โตกระฉุด กลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
หลายคนเปรียบเทียบ วิกฤตโควิด กับวิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2540 ซึ่งทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของบริษัทนึงที่เรียกได้ว่าเป็นสตาร์ทอัพไทยรายแรกที่เข้าตลาดสำเร็จ ในสมัยที่ยังไม่มีใครรู้จักคำว่าสตาร์ทอัพ
บริษัทนั้นชื่อ ออฟฟิศเมท ก่อตั้งโดย พี่หมู วรวุฒิ อุ่นใจ
ออฟฟิศเมท เริ่มจากการเป็นร้านขายเครื่องเขียน พอพี่หมูเข้ามาบริหารก็เริ่มขยายไปขายลูกค้าองค์กร
พอเจอวิกฤตปี 40 ที่มาแบบไม่ตั้งตัว ยอดขายของออฟฟิศเมทก็กระทบเยอะอยู่
แต่พี่หมูกลับมองว่า วิกฤตนี้คือโอกาส สำหรับการทำสิ่งใหม่ ในช่วงที่เกิดวิกฤตสิ่งที่ลูกค้าต้องการคือความมั่นใจ และประหยัดค่าใช้จ่าย
“ช่วงวิกฤตปี 40 ผมมองว่าองค์กรหลายแห่งก็ยังอยู่ และพวกเขาไม่มีกำลังจะติดต่อกับใครมากรายอีกแล้ว ทางที่ดีเขาอยากได้ตัวเลือกชัวร์ๆ ง่ายๆ แห่งเดียวไปเลย ที่ไว้ใจได้สั่งซื้อได้โดยไม่ต้องออกไปเลือกหาข้างนอกให้เปลืองเวลาและน้ำมัน ผมเลยสวนกระแสออกแค็ตตาล็อกสีให้หนา 200 หน้าจากเดิมร้อยหน้า ใช้กระดาษดีที่สุด รูปเล่มสวยที่สุด ได้ผล ยอดขายของเรากลับโตขึ้น 30% และโตราวๆ 30% ถึง 40% ทุกปี”
นับตั้งแต่นั้น ธุรกิจออฟฟิศเมทก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง จนเข้าตลาดหุ้นได้ และขายให้กลุ่มเซ็นทรัลในที่สุด
ในวิกฤต มีโอกาส ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่คือสิ่งที่เป็นไปได้จริง
พี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ เคยกล่าวไว้ว่า “กันดารคือสินทรัพย์” เมื่อเรามีข้อจำกัดต่างๆ ถ้าเราใช้ความคิดสร้างสรรค์และมองหาโอกาส ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ย่อมมีอีกมาก โดยเฉพาะในยามวิกฤต
โอกาสใหญ่ในตอนนี้คือ หนึ่ง ธุรกิจที่ช่วยให้คนมีรายได้เสริม และสอง ธุรกิจที่ช่วยให้แผนกใดแผนกหนึ่งในบริษัทลดต้นทุน
ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกคน โดยเฉพาะผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ และคนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบ ให้มองหาโอกาส จากความเปลี่ยนแปลงใน lifestyle และรายได้ของผู้บริโภค และความเปลี่ยนแปลงที่บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญ
วิกฤตคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว สิ่งที่กำลังจะเกิดคือโอกาสธุรกิจใหม่ ที่วิกฤตนี้ได้นำมา
บทความนี้เป็น Guest Post โดย มาโนช พฤฒิสถาพร
เกี่ยวกับผู้เขียน
มาโนช พฤฒิสถาพร ปัจจุบันทำงานที่ทีมสร้างสตาร์ทอัพ บริษัท SCB10X เขามีประสบการณ์ทำสตาร์ทอัพทั้งที่ไทยและอเมริกา เขาจบ MBA จาก Kellogg School of Management และทำงานต่อที่ซานฟรานซิสโกที่ Credit Karma บริษัทสตาร์ทอัพมูลค่าแสนล้าน เขาเป็นเจ้าของหนังสือ A DREAM TO DIE FOR ล้ม 3,000 ครั้ง เพื่อชนะฝันเดียว และ WINNING WITH IDEAS จากหนึ่งถึงพันล้าน (http://bit.ly/Winningideas) พูดคุยกับมาโนช ได้ที่ [email protected]