หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์ ที่รุนแรงที่สุดของไต้หวันในรอบ 25 ปี สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทว่า หนึ่งในสิ่งที่ทั่วโลกจับตามองคือ อุตสาหกรรมการผลิตชิปหรือเซมิคอนดักเตอร์ ที่อยู่ในมือของ Taiwan Semiconductor Manufacturing (TSMC) ผู้ผลิตรายใหญ่ของในโลก ซึ่งผลิตให้กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำมากมายทั่วโลก อาทิ Apple, Nvidia, Huawei, Samsung ฯลฯ จำเป็นต้องหยุดการผลิตชั่วคราว ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไม่น้อย
กระทั่งเมื่อวานนี้ (4 เมษายน 2567) ทาง TSMC ได้ประกาศกลับมาทำการผลิตตามปกติอีกครั้ง โดยได้ประเมินความเสียหายว่า แม้โรงงานจะได้รับแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย แต่ก็สร้างความเสียหายให้กระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไม่น้อย และบริษัทจะยังคงเฝ้าระวังและควบคุมการผลิตอย่างใกล้ชิดต่อไป ด้าน Nvidia ที่พึ่งพาชิปจาก TSMC กล่าวว่า การที่ TSMC หยุดการผลิตชั่วคราวจากเหตุแผ่นดินไหว อาจไม่มีผลกระทบต่อการผลิตมากนัก
ขณะที่ Micron Technology หนึ่งในผู้ผลิตชิปจากสหรัฐฯ ที่มีโรงงานผลิตในไต้หวัน กล่าวในข่าวประชาสัมพันธ์ว่า บริษัทกำลังประเมินผลกระทบการดำเนินงานและการผลิตทั้งหมด และจะหาทางแก้ไขเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ปัจจุบันตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกมีมูลค่า 527.88 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีมูลค่ามากถึง 1,380.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT) และ Machine Learning เป็นต้น
หากจะบอกว่าไต้หวันมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก ก็คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะปัจจุบันไต้หวันผลิตชิประดับไฮเอนด์ที่ทันสมัยกว่า 80-90% ซึ่งเป็นชิปที่ยังไม่มีประเทศใดทดแทนได้ (ข้อมูลจาก economictimes.indiatimes)
ปัจจุบัน TSMC เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดกว่าครึ่งของผู้ผลิตในไต้หวัน และ 90% ของชิปที่ผลิตจากบริษัทนี้ผลิตจากโรงงานทั้งสิ้น 12 แห่ง ซึ่งเป็นโรงงานที่ตั้งอยู่บนเกาะทางตะวันตกของไต้หวัน ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวพอสมควร จึงได้รับการสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย และแม้ว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุบริษัทต้องหยุดการผลิตชั่วคราว เมื่อสถานการณ์สงบก็กลับมาเป็นปกติภายใน 10 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ชิ้นส่วนเทคโนโลยีของไต้หวันถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก โดยนักวิเคราะห์จากสำนักข่าว Reuters กล่าวว่า แผ่นดินไหวในไต้หวันที่มีความรุนแรงขนาด 7.4 ริกเตอร์ มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก อาทิ ชิปคอมพิวเตอร์ หน้าจอแสดงผล และเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง TSMC ตัดสินใจหยุดการผลิตในระยะเวลาหนึ่ง
ที่น่าสนใจคือ ไต้หวันมีการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวอยู่แล้ว แม้จะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์ สำนักข่าวต่างๆ ได้รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตเพียง 9 รายเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อ 25 ปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นราย เหตุการณ์ครั้งนี้จึงถือว่าไต้หวันรับมือได้ดี บางบริษัทใช้ระบบปิดอัตโนมัติเพื่อลดความเสียหายต่อเครื่องมือและกระบวนการผลิต ซึ่งการที่เครื่องมือถูกปิดจะช่วยลดความเสี่ยงในการซ่อมแซมเครื่องจักรในระยะยาวได้ก็จริง แต่หากปิดนานเกินไป แค่ 1-2 วันก็อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในไตรมาสนั้นๆ
อันที่จริง TSMC ไม่ใช่ผู้ผลิตรายเดียวที่สั่งหยุดการผลิตชั่วคราว แต่โรงงานผลิตชิปรายเล็กที่ไม่ได้อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว ก็ตัดสินใจหยุดการผลิตและอพยพอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อความปลอดภัยเช่นกัน
ขณะเดียวกันการเกิดแผ่นดินไหวในไต้หวันอาจทำให้ Samsung มีความได้เปรียบในการเจรจากับลูกค้า เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่งบางรายต่างมีฐานการผลิตอยู่บนเกาะไต้หวันที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เมื่อไม่กี่วันมานี้ Samsung Eletronics ได้ประกาศผลกำไรในไตรมาสแรกของปีนี้ว่า บริษัทอาจมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 10 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยอาจมีกำไรสูงถึง 6.6 ล้านล้านวอน หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท
นักวิเคราะห์จากธนาคาร Barlasys ในสหราชอาณาจักรกล่าวว่า โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ใช้เครื่องจักรในการผลิตที่มีความซับซ้อนสูง การหยุดเครื่องในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง การปิดและเปิดเครื่องใหม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนที่มากขึ้น และเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การสะอึกในช่วงสั้นๆ” เพราะการที่บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่และรายเล็กในไต้หวันปิดเครื่องชั่วคราว อาจส่งผลให้ราคาชิปสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบไปสู่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศอื่นๆ และก็มีความเป็นไปได้ว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในล็อตนี้มีการปรับราคาขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทวิจัย TrendForce คาดว่า การจัดส่งแผนโทรทัศน์จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนี้อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีราคาสูงขึ้น แต่จะเกิดขึ้นเพียงในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ผู้ใช้อย่างเราจึงไม่ต้องกังวล
อ้างอิง
Asia.nikkei, reuters, Fortune Business Insights, economictimes.indiatimes
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด