ไทย–อินเดีย จับมือสู่การเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์”

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาลไทย มีการประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างไทยและอินเดีย โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจ (MOU) รวม 6 ฉบับ ที่ครอบคลุมทุกมิติของความร่วมมือ ตั้งแต่เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาวิสาหกิจ ไปจนถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ไฮไลต์สำคัญ คือการลงนามใน "Joint Declaration on the Establishment of Thailand–India Strategic Partnership" หรือ ปฏิญญาร่วมว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งถือเป็นก้าวใหม่ของความสัมพันธ์ไทย–อินเดีย ที่จะไม่เพียงแค่ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงความมั่นคง เทคโนโลยี วัฒนธรรม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ส่อง 6 ความร่วมมือเด่นไทย–อินเดีย

  1. ประกาศความเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ระหว่างไทย-อินเดีย: วางรากฐานความร่วมมือระยะยาว ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค
  2. ขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลร่วมกัน: กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย จับมือกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศอินเดีย เร่งเครื่องการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ตั้งเป้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและส่งเสริมนวัตกรรมร่วมกัน
  3. พัฒนาโครงการศูนย์มรดกทางทะเลระดับโลกที่รัฐคุชราต: กรมศิลปากรไทยร่วมมือกับกระทรวงท่าเรืออินเดีย สร้าง National Maritime Heritage Complex (NMHC) ณ เมืองโลธาล ชู Soft Power ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเชิงทะเล
  4. เชื่อมต่อ SME ไทย-อินเดีย: การจับมือกันของ NSIC อินเดีย และ สสว. ไทย มุ่งผลักดันผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (SMEs) เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค พร้อมแชร์องค์ความรู้และโอกาสการค้า
  5. ยกระดับหัตถกรรมและชุมชนช่างฝีมือ: ส่งเสริมการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านความร่วมมือด้านงานฝีมือระหว่างกระทรวงต่างประเทศไทย และกระทรวงการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
  6. จับมือส่งออก Soft Power ผ่านงานหัตถกรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์: NEHHDC อินเดีย และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ไทย เตรียมลุยโครงการพัฒนาหัตถกรรมร่วม พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์สู่เวทีโลก

“หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ในจังหวะที่โลกกำลังปรับสมดุลใหม่ สหรัฐฯ กดดันด้วยกำแพงภาษี

การพบปะระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียที่กรุงเทพฯ เมื่อไม่นานนี้ ไม่ใช่แค่การทูตเชิงสัญลักษณ์ทั่วไป แต่คือการขยับระดับความสัมพันธ์สู่ Strategic Partnership หรือ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมลงนามความร่วมมือในหลากหลายมิติ ทั้งเทคโนโลยี การค้า การศึกษา วัฒนธรรม และความมั่นคง

ขณะที่ฝั่งโลกการค้ากำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่จากนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้ Reciprocal Tariff ซึ่งเป็นมาตรการตอบโต้ทางการค้า โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ในอัตราที่เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับที่ประเทศเหล่านั้นเก็บกับสินค้าสหรัฐฯ กลายเป็น “กำแพงภาษี” ที่ใช้กดดันเชิงกลยุทธ์ต่อพันธมิตรทางการค้า

ในรายชื่อประเทศที่ถูกระบุว่าเป็น "Worst Offenders" ไทยถูกตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงถึง 36% และขยับขึ้นเป็น 37% ภายหลัง ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในอาเซียน และอยู่ในกลุ่มเดียวกับกัมพูชา (49%) และเมียนมา (44%) สะท้อนแรงกดดันที่อาจกระทบหนักกับผู้ส่งออกไทยโดยตรง

หรือนี่คือ ‘เกมรุกภูมิรัฐศาสตร์’ รับมือแรงกระเพื่อมจากสหรัฐฯ ?

ท่ามกลางแรงกดดันจากฝั่งตะวันตก ความร่วมมือระหว่างไทยและอินเดียจึงอาจมองได้ว่าเป็นการ “ขยับหมากภูมิรัฐศาสตร์” ไม่ใช่แค่ในมิติทางวัฒนธรรม เช่น การร่วมกันพัฒนาเส้นทางแสวงบุญ Buddhist Circuit หรือการท่องเที่ยว (เช่น Free Visa สำหรับคนไทยเข้าอินเดีย) แต่คือการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อรักษาสมดุลในภูมิภาคให้มั่นคง

อีกหนึ่งหมากสำคัญคือการเร่งขยายและปรับปรุงข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ทั้งในระดับทวิภาคี (ไทย-อินเดีย) และพหุภาคี (อาเซียน-อินเดีย) ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ อินเดียถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในเอเชียใต้ ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567

ในมิติของวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ความร่วมมือก็เดินหน้าเต็มรูปแบบ ไทยและอินเดียเตรียมขยายเส้นทาง Buddhist Circuit ไปยังรัฐสำคัญอย่างคุชราต เชื่อมโยงกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในไทยและประเทศอื่นในบิมสเทค พร้อมแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า และการเปิดเส้นทางบินใหม่

ฝั่งอินเดียเองเดินเกมเชิงรุกไม่แพ้กัน ด้วยการประกาศ Free Visa สำหรับนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งไม่เพียงกระตุ้นการเดินทาง แต่ยังขยายโอกาสด้านการค้าและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนั้น ผู้นำทั้งสองประเทศยังแสดงจุดยืนร่วมกันในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก ทั้งใน BIMSTEC, ASEAN, BRICS ไปจนถึง OECD โดยไทยพร้อมรับบท “สะพานเชื่อม” ระหว่างอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมผลักดันเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกให้เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้าง ครอบคลุม และยึดมั่นในกติกาสากล

อ้างอิง: thaigov

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เปิดเทรนด์ Garmin 2025 วิ่งยังยืนหนึ่ง ส่วนคนไทยหันมานั่งสมาธิ เดินเฉลี่ยวันละ 7,120 ก้าว

Garmin เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Garmin Connect Data Report 2025 ซึ่งรวบรวมสถิติการใช้งานจริงจากผู้ใช้ทั่วโลก แสดงให้เห็นภาพรวมกิจกรรมฟิตเนสที่เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดย...

Responsive image

Gemini 3 Flash ฉลาดแต่ไม่ซื่อสัตย์ ปัญหาใหญ่คือเน้นตอบให้ได้ มากกว่าตอบให้ถูก

Gemini 3 Flash โมเดล AI รุ่นล่าสุดจาก Google ถูกจับตาหนัก หลังผลทดสอบชี้ว่า แม้จะฉลาดและแม่นยำสูงเมื่อรู้จริง แต่ในกรณีที่ไม่รู้คำตอบ โมเดลกลับมีโอกาสสร้างคำตอบสมมติสูงถึง 91%...

Responsive image

วิจัยเผย 'การเล่นเกม' ช่วยลดอายุสมองได้ 4 ปี เพิ่มสมาธิ เรียนรู้เร็วขึ้น ชะลอความเสื่อมได้แค่เล่นให้ถูกวิธี

มีนักวิจัยหลายคนพบว่า เกมอาจไม่ใช่ผู้ร้ายอย่างที่คิดและในบางกรณียังช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้หมายความว่า “ยิ่งเล่นเกมเยอะยิ่งดี” ผู้เชี่ยวชาญย้ำตรงกันว่าประโยชน...