AstraZeneca ออกมายืนยันแล้วว่าตัววัคซีน COVID-19 ที่ฉีด ยังไม่มีหลักฐานว่าส่งผลให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน หรือเกล็ดเลือดต่ำ โดยตอนนี้ทาง AstraZeneca กำลังตรวจสอบและติดตามผลการฉีดวัคซีนอย่างใกล้ชิด หลังจากมีการฉีดให้กว่า 17 ล้านคนในยุโรปและสหราชอาณาจักร
หลังจากพบว่ามีจำนวนผู้ได้รับผลข้างเคียงจากการฉีด ทำให้มีการหยุดฉะงักหรือจำกัดจำนวนของการสั่งซื้อวัคซีนในหลาย ๆ ประเทศ อย่างเช่น ในเนเธอร์แลนด์ได้มีการระงับการฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และเลื่อนการฉีดออกไป โดยคาดว่าจะเลื่อนไปจนถึง 29 มีนาคม หลังจากนอร์เวย์ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ และไอส์แลนด์ได้ระงับการฉีดไปแล้ว โดยพบว่ามีบุคคลากรทางการแพทย์ในนอร์เวย์ที่รับวัคซีนแล้วเกิดผลข้างเคียง คือมีลิ่มเลือดอุดตันและเกล็ดเลือดต่ำ
ถึงแม้ว่าในช่วงแรกจะมีการสั่งห้ามไม่ให้ฉีดกับบุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่ต่อมาทางองค์การอนามัยโลกได้ออกมายืนยันว่าสามารถฉีด AstraZeneca กับบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปได้ แต่หลังจากที่มีผู้รับวัคซีนในอิตาลีแล้วเสียชีวิต รวมไปถึงในไทยที่ได้ระงับการฉีดวัคซีนชนิดนี้แล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และถือเป็นประเทศแรกนอกสหภาพยุโรปที่เลื่อนกำหนดการฉีดวัคซีน AstraZeneca
โดยตอนนี้ทาง AstraZeneca ก็ได้ออกมายืนยันแล้วเช่นกันว่ายังไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าการฉีดวัคซีนส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขภาพและโรคประจำตัวที่มีอยู่เดิมของแต่ละบุคคล และสัดส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนนี้ยังถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ๆ
จากการศึกษาทบทวนอย่างละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลด้านความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ากับประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนมากกว่า 17 ล้านรายในสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร ไม่พบว่ามีหลักฐานใดชี้ให้เห็นถึงอัตราความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (Pulmonary Embolism) ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Deep Vein Thrombosis: DVT) หรือ ภาวะเกล็ดเลือดตํ่า (Thrombocytopenia) ในกลุ่มอายุ เพศ รุ่นการผลิต หรือไม่ว่าจะในประเทศใดก็ตาม
นอกจากนี้ยังพบว่า แม้ในการทดลองทางคลินิกจะพบอัตราการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันต่ำ แต่ตัวเลขการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันยิ่งต่ำกว่าในกลุ่มของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน อีกทั้งไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าผู้ที่เข้าร่วมการทดลองทั้ง 60,000 รายมีอาการเลือดออกเพิ่มขึ้น
แอน เทย์เลอร์ Chief Medical Officer ของแอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า “ปัจจุบันมีประชากรในสหภาพยุโรปและ สหราชอาณาจักรที่เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้วกว่า 17 ล้านราย และมีรายงานจำนวนผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของการพบภาวะดังกล่าวในกลุ่มประชากรทั่วไป ซึ่งมีมากกว่าหลายร้อยเคส ภาวะโรคระบาดที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ ทำให้อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในแต่ละเคสได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น และเพื่อความปลอดภัยของประชาชน เรายิ่งต้องเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้วัคซีน ยิ่งกว่าการเฝ้าระวังตามมาตรฐานความปลอดภัยของยาทั่วไป”
ในด้านคุณภาพนั้น ไม่มีเหตุการณ์ใดที่ได้รับการยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนที่ใช้ในสหภาพยุโรปและในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การทดลองเพิ่มเติมยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งโดยแอสตร้าเซนเนก้าเองและองค์กรอิสระด้านสุขภาพของยุโรป แต่ก็ยังไม่พบว่ามีข้อบ่งชี้ของอาการไม่พึงประสงค์ใดๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ระหว่างการผลิตวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า รวมถึงพันธมิตรและห้องทดลองอิสระอีกกว่า 20 แห่งได้ทำการทดลองด้านคุณภาพมาแล้วกว่า 60 ครั้ง โดยในการทดลองแต่ละครั้งจะต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาที่เคร่งครัดและเข้มงวด ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจะทำการส่งไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านความปลอดภัยในประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาก่อนที่วัคซีนแต่ละรุ่นการผลิตจะได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศนั้นๆ
ความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอ บริษัทฯ ได้ทำการตรวจสอบและติดตามผลด้านความปลอดภัยของวัคซีนอย่างใกล้ชิด ทว่าก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่ยืนยันได้ว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเกี่ยวข้องกับอาการดังกล่าว และเพื่อให้พวกเราสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการระบาดของเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ไปได้ สิ่งสำคัญคือประชาชนควรต้องได้รับวัคซีนเมื่อสามารถฉีดได้
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ในกว่า 70 ประเทศ ครอบคลุม 6 ทวีปทั่วโลกแล้ว และจากการขึ้นทะเบียนสำหรับการใช้ในภาวะฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลกในครั้งนี้จะช่วยเร่งให้มีการเข้าถึงวัคซีนใน 142 ประเทศผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการโคแวกซ์
อ้างอิง: Bloomberg, Reuters , AstraZeneca
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด