เทรนด์การซื้อ-ขายสินค้าบนโลกออนไลน์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับอดีตที่การซื้อ-ขายออนไลน์ ไม่เป็นที่นิยมมากนัก หนึ่งในสาเหตุหลัก ก็คือ “ความไม่มั่นใจ” เพราะผู้ซื้อ-ขายออนไลน์จำนวนมากต้องประสบกับปัญหาการชำระเงินด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน
ระบบทำงานขัดข้อง ทำรายการไม่สำเร็จ หรือไม่ได้รับสินค้าตามที่สั่งซื้อ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเหตุให้ผู้ซื้อ-ขายบนโลกออนไลน์ในยุคก่อนขาดความเชื่อมั่นในระบบออนไลน์
ด้วยสาเหตุที่กล่าวไว้ข้างต้นทำให้บริษัทผู้พัฒนาระบบ Payment Gateway อย่างโอมิเซะ (Omise) มองเห็นความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี ไปพร้อมๆ กับประสบการณ์การจ่ายเงินที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความปลอดภัย การใช้งานบนหน้าจอที่ง่าย หรือ เทคโนโลยี tokenization ที่ใช้ในการจำข้อมูลบัตรเครดิต เพื่อลดขั้นตอนการกรอกข้อมูลสำหรับลูกค้าที่เคยกรอกแล้ว
ในปัจจุบัน จำนวนร้านค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้การเลือกผู้ให้บริการระบบชำระเงินผ่านบัตรเครดิต หรือ Payment Gateway มีความสำคัญมาก นอกจากตัวเลือกในตลาดที่มีมากแล้ว ยังมีปัจจัยด้านราคา รวมไปถึงขั้นตอนในการสมัครหรือการใช้งาน และสิ่งที่ทำคัญที่สุดคือ ประสบการณ์การให้บริการลูกค้า (user experience)โดยเฉพาะในหน้าการชำระเงินที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการปิดการขาย หากลูกค้าเจอประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ดีในขั้นตอนสุดท้ายของการชำระเงินซึ่งเป็นจุดวัดใจในการซื้อสินค้า ทุกอย่างก็จบ
ในบทความนี้ประกอบด้วย ปัจจัยต่างๆที่จะเน้นถึงความสำคัญของประสบการณ์ลูกค้า ผ่าน Payment Gateway รวมถึงผลกระทบ และปัจจัยในการเพิ่มยอดขายแก่ร้านค้าได้
จึงเป็นที่มาในการตั้งคำถามในบทความนี้ ซึ่งเกี่ยวกับความสำคัญในการเลือกผู้ให้บริการการชำระเงิน ไม่ใช่เพียงแค่ตั้งหน้าร้าน วางของ แล้วรอรับเงิน ที่คุณอาจจะไม่ได้เงินก็เป็นได้...
โดยทั่วไปแล้ว เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ต้องทุ่มเงินมหาศาลไปกับการตลาดในการสร้าง traffic ให้กับเว็บไซต์ สร้างแคมเปญเพื่อเพิ่ม conversion rate จาก traffic รวมไปถึง อีกหลายกลยุทธในการปิดการขายบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่มีความหมาย หากลูกค้าต้องเจอกับปัญหาที่หน้า payment page ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายของขั้นตอนการขาย จนลูกค้าถึงกับต้อง drop-off หรือยกเลิกการซื้อไปในที่สุด ซึ่งเป็นการเสียโอกาสที่ยิ่งใหญ่ เพราะอีกนิดเดียวคุณก็จะปิดการขายได้แล้ว
หนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อประสบการณ์ของลูกค้าบน Payment Page คือการถูก Redirect ไปยังเว็บไซต์อื่น นอกจากความเสี่ยงที่จะเกิด Connection Lost แล้ว ก็ไม่สามารถ Redirect กลับมายังเว็บไซต์ของร้านค้าได้ ในกรณีนี้ ลูกค้าเกือบร้อยทั้งร้อย จะทิ้งรายการการซื้อ ทำให้ผู้ขายสูญเสียโอกาสการขาย แล้วยังมีปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับแบบฟอร์มการกรอกที่ยุ่งยากหรือมีความซับซ้อนมากเกินจำเป็น รวมทั้งการ Redirect ไปยัง Payment Page ที่ไม่ Mobile Responsive ในกรณีที่ลูกค้าใช้สมาร์ทโฟนในการทำรายการ (ซึ่งเป็นเทรนด์สำหรับอีคอมเมิร์ซยุคนี้) แบบฟอร์มที่ยุ่งยาก และไม่ได้พัฒนาให้เข้ากับหน้าจอที่แสดงผลบนสมาร์ทโฟนก็ทำให้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลูกค้าทิ้งรายการสั่งซื้อได้อย่างง่ายดาย
อีกสิ่งหนึ่งที่ละเอียดอ่อนและถือมีความสำคัญในแง่ของ Branding คือการ Redirect ลูกค้าออกจากหน้าการจ่ายเงินของเว็บไซต์เราเองนั้น เพราะไม่สามารถควบคุม Brand Experience ที่ลูกค้าจะเจอ รวมทั้งหน้าจอ UI ที่ลูกค้าจะต้องเจออีกหน้าเพราะมีการเปลี่ยนเว็บไซต์ ซึ่งย่อมมีความแตกต่างกับการอยู่บนหน้าเว็บไซต์ของแบรนด์อย่างสิ้นเชิง
ซึ่ง Omise Payment Gateway ได้นำเสนอ White Label Solution ให้กับตลาดของร้านค้าออนไลน์ทุกระดับ ซึ่งเรามองเห็นปัญหาของร้านค้าที่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อมักมีการ Drop-Off รายการที่สั่งซื้อจากหน้าชำระเงิน
ด้วย White Label Solution จะลดปัญหาที่เกิดขึ้นข้างต้น โดยจุดเด่นสำหรับการใช้งานนั้น นอกจากเว็บไซต์สามารถควบคุมดีไซน์ของหน้าชำระเงินได้แล้ว ผลิตภัณท์ของ Omise ยังติดตั้งง่าย ทั้งยังมี Format สำหรับแบบฟอร์มเพื่อใช้ชำระเงินให้สำหรับร้านค้าได้เลือกอีกด้วย
ผลิตภัณท์ของเราไม่จำเป็นต้องมีการ Redirect ลูกค้าออกจากหน้าเว็บไซต์หลัก ทำให้ประสบการณ์การรับชำระหน้าการจ่ายเงินง่ายที่สุดสำหรับลูกค้า
ในปัจจุบัน วิธีการจัดส่งและเก็บข้อมูลแบบTokenization เป็นวิธีการที่สะดวกปลอดภัยที่สุด และเริ่มแพร่หลายในวงการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสะดวกสบายของผู้ซื้อบนหน้าเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
ด้วยวิธีการจัดการ ข้อมูลแบบTokenization นี้ช่วยให้เว็บไซต์สามารถจำข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าของคุณ ทำให้การปิดการขายและการชำระเงินในครั้งต่อไปนั้นสามารถจบลงใน 1 คลิก ด้วยบัตรที่ลูกค้าบันทึกแล้วบนหน้าเว็บไซต์ หากผู้ซื้อต้องการกลับมาซื้อสินค้าบนหน้าเว็บเราอีกครั้งก็ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลใดๆ เพียงแค่เลือกเลขบัตรเครดิตที่เราเคยกรอกไว้ ซึ่งจะแสดงเป็นเลข 4 หลักบนหน้าชำระเงิน จากนั้นก็กดยืนยันการชำระ เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดเวลาในการกรอก ทำให้การซื้อสินค้าจบได้ในคลิกเดียว สิ่งนี้สำคัญมากเพราะมันทำให้เกิด Impulse Buying ของผู้ซื้อ และช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย นอกจากนี้สำหรับเว็บไซต์ที่มีระบบบอกรับสมาชิกหรือ subscription แล้ว ด้วยเทคโนโลยีนี้สามารถทำการชาร์จเงินลูกค้าในแบบ Recurring หรือแบบซ้ำได้ด้วย
รวมทั้ง Omise ยังเป็นผู้ให้บริการรับชำระที่ได้ PCI DSS 3.1 Compliance ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับผู้ให้บริการแบรนด์บัตรเครดิตชั้นนำของโลก ด้วยมาตรฐานนี้ ทำให้เราได้ให้บริการเทคโนโลยี Tokenization ซึ่งได้ยอมรับกว้างขวางและมีระบบความปลอดภัยที่สูงที่สุด
ในโลกของอีคอมเมิร์ซ การละทิ้งรายการสั่งซื้อสามารถเกิดได้จากหลายๆ ปัจจัยบทความนี้ เราจะเน้นในส่วนของการทิ้งการสั่งซื้อบนหน้าของการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
ซึ่งเหตุผลหลักๆ ที่เราเจอก็คือช่วงของการชำระเงินที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานยากและมีหลายขั้นตอนจนเกินไป รวมไปถึงสิ่งที่ได้กล่าวก่อนหน้านี้แล้วไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนหน้าไปมาแล้ว Error, รูปแบบการจ่ายเงินที่มีความซ้ำซ้อน ทั้งหมดนี้จะทำให้ลูกค้าของคุณเมินจากการซื้อสินค้า หากมานึกถึงปัจจัยทั้งหมด ล้วนแล้วเป็นเรื่องของ User Experience แทบทั้งสิ้น
จากทั้งสามสิ่งที่เราตั้งคำถามก็เพื่อที่อยากจะกระตุกความคิดของคุณว่า ยอดขายที่คุณไม่โตขึ้นแม้ว่าคุณจะมีสินค้าที่น่าสนใจ สาเหตุมาจากการเลือกใช้ Payment Gateway ที่ไม่ตอบสนองกับผู้ใช้งานหรือผู้ที่เป็นลูกค้าหรือเปล่า? การที่ Omise นำ Solution มาก็เพื่อที่จะแก้ปัญหาที่พบกันอยู่บ่อยๆ เพื่อให้ผู้ที่เป็นเจ้าของร้านมีโอกาสได้รายได้มากขึ้นจากผู้ใช้งานที่มีขั้นตอนในการจ่ายเงินที่ลดลง
เรามีตัวอย่างของผู้ที่ได้ใช้งาน Omise เป็นช่องทางในการชำระเงิน นั่นคือ Event Pop ด้วยการกรอกแบบสอบถามหลังการใช้งานก็พบสิ่งที่น่าสนใจหลายๆ อย่างในคำตอบ
และนี่คือคำตอบจากผู้ที่ได้ใช้งานจริง ซึ่งก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าการเลือก Payment Gateway ที่เข้าใจทั้งคนซื้อและคนขาย จะช่วยให้ความสะดวกสบายเกิดขึ้นจริงครับ
สามาารถดูรายละเอียดและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Omise.co
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด