รู้จัก World โปรเจ็กต์ยืนความเป็นมนุษย์ในยุค AI จาก Sam Altman และ Alex Blania

ลองนึกภาพตามว่า ถ้าโลกดิจิทัลที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มันเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่า อะไรคือ ‘คน’ อะไรคือ ‘บอท’ หรือ ‘AI’ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่เราคุยด้วย คนที่คอมพิวเตอร์กำลังโต้ตอบอยู่ หรือคนที่มีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ ในโลกดิจิทัลนั้นคือมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่โปรแกรมที่ถูกสร้างมา? 

ปัญหาเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องน่ารำคาญอย่างสแปม บัญชีปลอม ไปจนถึงการฉ้อโกงที่ซับซ้อน และการบิดเบือนข้อมูลด้วย Deepfake

นี่คือแนวคิดหลักที่ทำให้เกิดโปรเจ็กต์ World จากการร่วมก่อตั้งโดย Sam Altman (CEO ของ OpenAI) และ Alex Blania ที่กำลังผลักดัน ‘การพิสูจน์ความเป็นมนุษย์’ (Proof of Human) อย่างจริงจัง ว่าแต่ Worldcoin คืออะไร และพวกเขาต้องการพิสูจน์ความเป็นมนุษย์อย่างไร โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว? Techsauce ขอสรุปเรื่องราวไว้ดังนี้

รู้จัก World Network เครือข่ายระบุตัวตนยุค AI ที่มนุษยชาติเป็นเจ้าของ

ต้องเล่าก่อนว่า โลกดิจิทัลทุกวันนี้กำลังเผชิญปัญหาใหญ่จากการที่ AI เก่งขึ้นจนแยกแยะได้ยาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และการใช้งานโลกดิจิทัลของมนุษย์ 

World จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะโปรเจ็กต์ที่ต้องการสร้าง เครือข่ายระบุตัวตนและการเงินระดับโลก ที่ถูกออกแบบมาให้มนุษยชาติส่วนใหญ่เป็นเจ้าของ โดยใช้แนวคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นก็คือ Proof of Human (PoH) ซึ่งเป็นการสร้างหลักฐานดิจิทัลที่พิสูจน์ได้สองอย่างคือ

คุณคือ มนุษย์จริงๆ (Human)

คุณคือมนุษย์ที่ มีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร (Unique) และแตกต่างจากบอท หรือ AI

โปรเจกต์นี้ริเริ่ม และพัฒนาเทคโนโลยีหลักโดยบริษัท Tools for Humanity (TFH) และปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของ World Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร

Alex Blania หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง World เคยกล่าวไว้ว่า "เราไม่ต้องการรู้ว่าคุณเป็นใคร เราแค่ต้องการรู้ว่าคุณเป็นมนุษย์จริง ๆ" ดังนั้น การพิสูจน์อัตลักษณ์ความเป็นมนุษย์นี้ Worldcoin จะทำ โดยไม่เปิดเผยตัวตนในโลกแห่งความเป็นจริง โดยใช้ 2 เครื่องมือหลักสำคัญคือ World ID และ Orb

World ID และ Orb คืออะไร?

World ID = พาสปอร์ตดิจิทัล

Orb = ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ล้ำสมัย

World ID เปรียบเสมือน ‘พาสปอร์ต’ สำหรับมนุษย์ในโลกดิจิทัล มันคือเอกลักษณ์ดิจิทัลที่จะช่วยยืนยันความเป็นมนุษย์ของคุณ โดยรักษาความเป็นส่วนตัว ไปพร้อมกัน World ID ถูกออกแบบให้ผูกติดกับบุคคล (Personbound) ใช้ได้เฉพาะบุคคลที่ได้รับการออกให้เท่านั้น เพื่อป้องกันการซื้อขายหรือโอนสิทธิ์

Orb เปรียบเสมือน ‘ด่านตรวจคนเข้าเมือง’ สุดไฮเทคในโลกของ World มันคืออุปกรณ์ยืนยันตัวตนแบบ Biometric รูปทรงกลมที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ

เหตุผลที่ต้องใช้ Biometric Hardware นั้น Whitepaper ของ World ระบุว่าเป็น ทางออกระยะยาวเพียงทางเดียว ที่จะช่วยให้กระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์ในระดับโลก มีความแม่นยำสูงพอ และยังปลอดภัยจาก AI 

ภายใน Orb ไม่ได้มีแค่กล้องสแกนม่านตา แต่ติดตั้งกล้อง และเซ็นเซอร์หลายชนิด ทำงานร่วมกันเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์อย่างรอบด้าน เช่น 

  • กล้องสแกนม่านตาความละเอียดสูง
  • กล้องมุมกว้าง 
  • เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ
  • กล้อง 3D Time of Flight (ToF)

กล้อง และเซ็นเซอร์เหล่านี้ ถูกใช้เพื่อพิสูจน์ก่อนว่าสิ่งที่อยู่หน้าเครื่องคือ ดวงตาของมนุษย์จริงๆ (Liveness Detection) ไม่ใช่ภาพถ่ายหรือหุ่นยนต์ จากนั้น ข้อมูลชีวมิติที่จะถูกนำไปใช้ยืนยันความไม่ซ้ำใครคือ ‘ม่านตา’ 

Whitepaper ให้เหตุผลว่า โครงสร้างม่านตามีความเสถียรมาก ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา และมีลายเส้นซับซ้อน ทำให้เป็นวิธียืนยันความเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ได้ดี และแม่นยำที่สุดในระดับสเกลใหญ่ระดับโลก

ด้วยความที่ World ให้ความสำคัญเรื่อง ความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่งยวด เมื่อ Orb ยืนยันได้ว่าเป็นดวงตาของคนจริงๆ แล้วเท่านั้น จึงจะทำการสแกนม่านตาด้วยความละเอียดสูง และ ประมวลผลภาพที่ได้บน Orb ทันทีเพื่อสร้าง ‘Iris Code’ ซึ่งเป็นรหัสทางคณิตศาสตร์ที่ไม่ซ้ำใครเพื่อใช้ในการระบุตัวตน แต่รหัสนี้จะไม่สามารถแปลงกลับเป็นภาพม่านตาได้

หลังจากสร้าง Iris Code เสร็จ ภาพม่านตา และข้อมูลดิบอื่นๆ จะถูกลบทิ้งถาวรทันทีโดยค่าเริ่มต้น ไม่มีการเก็บหรือส่งต่อไปที่อื่น ข้อมูลเดียวที่ระบบใช้คือ Iris Code เพื่อนำไปตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับฐานข้อมูลต่อไป โดยทะเบียนรายชื่อของผู้ที่ Verified แล้ว จะถูกจัดเก็บไว้บน Blockchain เพื่อความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือ

ข้อมูลบนเว็บไซต์ World ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2025  ระบุว่ามีผู้ลงทะเบียน World ID แล้วมากกว่า 12.3 ล้านคน และมีเครื่อง Orb กว่า 1,500 เครื่อง รวมถึงในประเทศไทยที่มีการเปิดตัวและตั้งจุดให้บริการ Orb ในกรุงเทพฯ แล้ว

นอกจาก Orb เครื่องใหญ่ที่วางตามสถานที่ต่างๆ แล้ว ยังมีการเปิดตัว 'Orb Mini' ซึ่งเป็นอุปกรณ์ยืนยันตัวตนรุ่นใหม่ที่มีรูปร่างคล้ายสมาร์ทโฟน พกพาสะดวก มีเซ็นเซอร์สแกนม่านตาขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า 

เป้าหมายหลักของ Orb Mini คือการขยายการเข้าถึงและยืนยันผู้คนได้มากขึ้นและง่ายขึ้น แม้ปัจจุบันจะเน้นที่การสแกนม่านตาเป็นหลัก (ไม่ใช่โทรศัพท์เต็มรูปแบบ) แต่ก็มีแผนพัฒนาต่อยอดในอนาคต เช่น อาจใช้เป็นเครื่อง POS หรือขายเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ให้ผู้ผลิตรายอื่น การเปิดตัวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายเครือข่ายครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่มีการเปิดหน้าร้าน (Storefronts) ให้คนเข้าไปสแกนตาได้

World ทำงานอย่างไร ?

Worldcoin อธิบายว่าจะใช้เทคนิคการเข้ารหัสขั้นสูงที่เรียกว่า Zero-Knowledge Proofs (ZKPs) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาความเป็นส่วนตัว ZKPs เป็นเทคนิคช่วยให้เราพิสูจน์ได้ว่า เรามีคุณสมบัติบางอย่าง เช่น มี World ID ที่ Verified แล้ว และอยู่ในทะเบียนบน Blockchain โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับเลย 

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณต้องการใช้ World ID กับแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ แอปฯ World ของคุณจะสร้าง ZKP ส่งไปให้ผู้ตรวจสอบ ผู้ตรวจสอบจะสามารถยืนยันได้ว่า ZKP นี้ถูกต้อง (แปลว่าคุณเป็นมนุษย์ที่ Verified ผ่าน Orb แล้วจริง) แต่พวกเขาจะ ไม่รู้เลยว่า World ID ของเราคืออะไร หรือ Iris Code เป็นอย่างไร นี่คือกลไกหลักที่ทำให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย และเป็นส่วนตัว

อีกหนึ่งสิ่งที่เกิดควบคู่กับ World ID ก็คือ โทเค็น WLD โดยตามเอกสาร Whitepaper ระบุว่า WLD เป็น Governance Token (โทเค็นเพื่อการกำกับดูแล) และ Utility Token ที่จะถูกมอบให้กับผู้ที่มายืนยัน World ID เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม (ไม่ใช่เพื่อการลงทุน) 

โดย 75% ของ Tokens ทั้งหมดจะถูกจัดสรรให้กับคอมมูนิตี้ซึ่งส่วนใหญ่คือผู้ใช้ และทยอยปล่อยออกมานานถึง 15 ปี ในอนาคต ผู้ที่ถือ WLD และอาจรวมถึงผู้ถือ World ID จะมีสิทธิ์ในการโหวต และกำหนดทิศทางของเครือข่าย เพื่อให้ระบบ PoH นี้เป็นของมนุษยชาติส่วนใหญ่โดยแท้จริงตามเป้าหมาย

World ID ใช้ทำอะไรได้บ้าง ?

แนวคิดเรื่อง Proof of Human ที่ World ID มอบให้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายมาก Whitepaper ได้ยกตัวอย่างความเป็นไปได้ไว้หลายด้าน เช่น

1.สร้างความน่าเชื่อถือในโลกออนไลน์

  • Match Group (เจ้าของ Tinder, Hinge ฯลฯ) กำลังนำร่องใช้ World ID สำหรับ การยืนยันอายุ และเพิ่มความมั่นใจว่าโปรไฟล์ที่โต้ตอบด้วยคือ คนจริงๆ ที่ต้องการความสัมพันธ์จริง เริ่มต้นกับผู้ใช้ Tinder ในญี่ปุ่น
  • World ยังสามารถนำไปใช้กับโซเชียลมีเดีย และเกม เพื่อป้องกันบอท, บัญชีปลอม, และการโกงในเกม ซึ่งในตอนนี้มีการร่วมมือกับ Razer แล้ว ทำให้มั่นใจว่ากำลังแข่งขันหรือโต้ตอบกับมนุษย์ด้วยกัน
  • ในปัจจุบันร้านค้าบน Shopify สามารถใช้ World ID เพื่อสร้างโปรโมชันที่ป้องกันบอท, จำกัดการซื้อสินค้าพิเศษเฉพาะมนุษย์, และลดการฉ้อโกง

2.การกำกับดู และการกระจายทรัพยากร:

  • ใช้ใน DAO Voting สร้างระบบโหวต 1 คน 1 เสียงที่แท้จริง เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์ด้วยกันเองซื้อสิทธิ์ เนื่องจาก World ID ไม่สามารถโอนถ่ายให้มนุษย์คนอื่นๆ ได้
  • ใช้ใน Airdrops หรือการรับสิทธิประโยชน์ เช่น การแจกจ่ายโทเค็นให้ทั่วถึงแบบยุติธรรม ป้องกันการรับซ้ำซ้อน

3.ป้องกันการฉ้อโกง

  • Hakuhodo (เอเจนซี่โฆษณาใหญ่ในญี่ปุ่น) วางแผนใช้ World ID สร้างเครือข่ายโฆษณาที่เข้าถึงมนุษย์จริง
  • ลดความเสียหายจากการหลอกลวงในภาคการเงิน การศึกษาจาก Deepfake หรือการสร้างตัวตนปลอม
  • ยืนยันความเป็นมนุษย์เพื่อป้องกัน DoS Attack โดยไม่ต้องแก้ภาพปริศนาเหมือนอย่างในกรณีของ CAPTCHA

และเพื่อให้เครือข่าย World ID สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและกระจายศูนย์ในระยะยาว World  ได้ประกาศแผนสำคัญ 2 อย่าง คือ

1.World ID Fees (การเก็บค่าธรรมเนียม)

หลักการคือ แอปพลิเคชันที่นำ World ID ไปใช้ จะเป็นผู้จ่ายค่าธรรมเนียมด้วยโทเค็น WLD ในขณะที่ผู้ใช้งานปลายทาง (End User) จะยังคงใช้งานได้ฟรี เพื่อสร้างรายได้หล่อเลี้ยง World Netwrk ให้ยั่งยืน และสร้างแรงจูงใจให้องค์กรอื่นๆ เช่น รัฐบาล, บริษัท เข้ามาเป็นผู้ออก Credential อื่นๆ เพิ่มเติมบน World ID ได้ในอนาคต เช่น ใบรับรองการศึกษา, รายงานเครดิต โดยพวกเขาสามารถกำหนด และรับค่าธรรมเนียม Credential ของตนเองได้

โดยค่าธรรมเนียมที่เก็บได้จะถูกนำกลับมาพัฒนา และสนับสนุนการเติบโตของ Ecosystem ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทดลองระบบเก็บค่าธรรมเนียมใน ไตรมาสที่ 3 ของปี 2025

2.World Card 

ในตอนนี้ World จับมือกับ Visa ออกบัตรที่เชื่อมต่อโดยตรงกับ Wallet ใน World App ของผู้ใช้ที่ยืนยัน World ID แล้ว ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึง WLD ที่ได้รับ ไปใช้จ่ายได้ทุกที่ที่รับ Visa ทั่วโลก โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินปกติผ่านระบบแปลง Crypto-to-Fiat อัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการทำให้ WLD สามารถใช้งานได้ในโลกจริงอย่างกว้างขวาง

แนวคิดของ Worldcoin อาจฟังดูเป็นเรื่องใหญ่และอาจมีข้อถกเถียงในบางมุม แต่แก่นของมันคือการพยายามแก้ปัญหาพื้นฐานของโลกดิจิทัลในยุค AI นั่นคือ "เราจะสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นธรรมออนไลน์ โดยยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างไร?

ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว แนวคิดเรื่อง‘Proof of Human ที่รักษาความเป็นส่วนตัว นี้ คือโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย และอาจเป็นเรื่องที่เราทุกคนในฐานะพลเมืองดิจิทัล ต้องเริ่มให้ความสนใจ ทำความเข้าใจ และจับตามอง ว่ามันจะนำพาอนาคตอินเทอร์เน็ตของเราไปในทิศทางไหน

อ้างอิง : Whitepaper, World


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจาะดีล Netflix เข้าซื้อ Warner Bros ทำไมถึงยอมจ่ายมากถึง 8.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำไมหลายคนไม่เห็นด้วย

นับเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการบันเทิงหนัง Netflix เจ้าตลาดสตรีมมิ่งประกาศเข้าซื้อกิจการ Warner Bros. ซึ่งนับรวมถึงสตูดิโอสร้างภาพยนตร์-โทรทัศน์ และธุรกิจสตรีมมิ่ง HBO Max และ HBO ด...

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...

Responsive image

วิกฤตสมองไหลใน Apple ไม่จบ ! ล่าสุด Meta ดึงตัว Alan Dye หัวหน้าทีมดีไซน์ Apple ผู้คุมออกแบบ Liquid Glass ใน iOS26

เจาะลึกสมองไหลใน Apple ปี 2025 เมื่อผู้เชี่ยวชาญ AI หลายคนย้ายไป Meta, OpenAI และ Cohere ส่งผลต่ออนาคต Apple Intelligence...