
Virtual Bank กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย คำถามสำคัญคือธนาคารรูปแบบใหม่นี้จำเป็นจริงแค่ไหน และจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? บทความนี้สรุปประเด็นสำคัญจากคุณปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา Chief Digital Platform Business Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) และ คุณธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด
คุณปุณณมาศเริ่มต้นด้วยการฉายภาพปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทย นั่นคือ ‘หนี้นอกระบบ’ โดยอ้างอิงข้อมูลว่า กว่า 40% ของครัวเรือนไทยติดหนี้นอกระบบ โดยมีหนี้สินเฉลี่ยสูงถึง 54,000 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งสาเหตุสำคัญคือการที่คนกลุ่มนี้เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
คุณปุณณมาศอธิบายว่า Virtual Bank ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือคน 3 กลุ่มหลักๆ คือ:
นอกจากนี้ คุณธัญญพงศ์ได้ย้ำว่าการที่คนไทยกว่า 95% มีบัญชีธนาคารไม่ได้หมายความว่าทุกคนเข้าถึงบริการการเงิน เพราะยังมีช่องว่างใน 3 ด้านหลักคือ
Virtual Bank จะเข้ามาแก้ปัญหานี้โดยออกผลิตภัณฑ์ที่ยืดหยุ่นและเหมาะกับชีวิตคนตัวเล็ก เช่น ประกันที่จ่ายวันละ 10 บาท แทนการจ่ายเป็นก้อนใหญ่รายปี หรือสร้างเครื่องมือช่วยออมเงินที่สนุกเหมือนเล่นเกม ดังที่คุณปุณณมาศตั้งคำถามไว้อย่างน่าสนใจว่า "ถ้าเราสอนคนให้ติดเกมได้ ทำไมธนาคารจะสอนเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิตอย่างวินัยทางการเงินให้ประชาชนไม่ได้"
คุณธัญญพงศ์ชี้ว่าความแตกต่างสำคัญอยู่ที่รากของการสร้าง Virtual Bank ถูกสร้างขึ้นมาเป็นดิจิทัลเต็มตัว (Digital Native) ไม่มีต้นทุนเก่าของสาขาและระบบเดิม ทำให้ต้นทุนต่ำ และด้วยระบบที่อยู่บน Cloud และสร้างแบบ Micro-services ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ต่างจากธนาคารทั่วไปที่อาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี
เรื่องการให้สินเชื่อเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ธนาคารทั่วไปมักแบ่งลูกค้าเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แค่ 4 กลุ่ม (เสี่ยงสูงมาก, สูง, กลาง, ต่ำ) ทำให้คนที่ "เกือบดี" มักถูกปฏิเสธ แต่ Virtual Bank ใช้เทคโนโลยี Machine Learning และข้อมูลพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น การใช้มือถือ การจ่ายเงินหรือการสมัครสมาชิก ทำให้สามารถแบ่งลูกค้าได้ละเอียดถึง 20-50 กลุ่ม
บทความเดิมได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจว่า "ลูกค้าที่สมัครสมาชิกนิตยสาร The Economist มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้เพียง 0.005%" นี่คือพลังของข้อมูลทางเลือกที่ทำให้เข้าใจความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคนได้ลึกซึ้งขึ้น ผลลัพธ์ก็คือ กว่า 50% ของลูกค้าที่พวกเขาอนุมัติสินเชื่อในปัจจุบัน คือคนกลุ่มที่เคยถูกสถาบันการเงินอื่นปฏิเสธมาก่อน
คุณธัญญพงศ์อธิบายว่าโมเดลธุรกิจของ Virtual Bank จะเน้นกลยุทธ์แบบ "ป่าล้อมเมือง" คือเข้าถึงลูกค้าในปริมาณมหาศาล แม้รายได้ต่อคนจะน้อยก็ตาม เช่น สินเชื่อเฉลี่ยอาจอยู่ที่ 3,000–5,000 บาท (เทียบกับบัตรเครดิตที่ 70,000–100,000 บาท) แต่ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนลูกค้าจาก 2–4 ล้านคน ไปสู่ 7–10 ล้านคน
หัวใจที่ทำให้โมเดลนี้เป็นไปได้คือโครงสร้างต้นทุนที่ต่ำมากจากการไม่มีสาขาและใช้ AI เป็นหลัก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งใบสมัคร 8 ล้านใบต่อปีถูกจัดการด้วยระบบอัตโนมัติเกือบทั้งหมด โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์ดูแลเพียง 7 คน
แน่นอนว่าเส้นทางนี้ไม่ได้ง่ายและมีความเสี่ยงสูงมาก คุณธัญญพงศ์ให้ข้อมูลว่า Digital Bank ทั่วโลกกว่า 90% ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเป็นโจทย์ที่ยากมากในการสร้างสมดุลระหว่างการบริการลูกค้ากลุ่มเสี่ยงสูงกับการควบคุมหนี้เสีย ขณะที่คุณปุณณมาศ ชี้ว่าความท้าทายหลักคือ ความเสี่ยงด้านเครดิต และ การทุจริต ซึ่งต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยป้องกันอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังมีเรื่องกรอบเวลาที่ ธปท. กำหนดให้เปิดดำเนินการใน 1 ปี และความเสี่ยงจากมิจฉาชีพที่จะปลอมตัวมาหลอกลวงประชาชน
หัวใจของ Virtual Bank ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจธนาคารออนไลน์ แต่มันคือภารกิจที่อยากจะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องของคนไทย โดยเฉพาะการให้ "โอกาส" กับคนตัวเล็กๆ ให้พวกเขาสามารถเข้าถึงเงินทุนในระบบได้ง่ายขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องไปติดกับดักหนี้นอกระบบอีกต่อไป แน่นอนว่ามันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่ไม่ง่าย แต่ถ้าทำสำเร็จ มันจะเปลี่ยนชีวิตคนได้อีกเยอะมาก และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด