กระแสรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยปี 2024 ได้รับความนิยมจากผู้ใช้เพิ่มแบบเห็นได้ชัด โดยภายในงาน Motor Show 2024 ที่ผ่านมา มียอดจองรถไฟฟ้า 100% ไปมากกว่า 17,517 คันจากยอดจองทั้งหมด 53,438 คัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ที่แม้จะมีรถเข้ามาทำตลาดในไทย 5 รุ่น (Dolphin, Atto 3, Seal, Denza D9, Seal U) กลับสามารถครองยอดจองลำดับที่ 2 ที่ 5,345 คัน ตามหลังแชมป์เจ้าตลาดอย่าง Toyota ที่มียอดจองในงานรวม 8,540 คัน และที่น่าสนใจไปกว่านั้น 10 อันดับยอดจองสูงสุดในงาน Motor Show 2024 เป็นแบรนด์จีนติดอันดันไปแล้วถึง 5 แบรนด์ เกาะกลุ่มร่วมกับแบรนด์รถญี่ปุ่นอย่างเหนียวแน่น
แต่การเข้ามาทำตลาดอย่างหนักหน่วงของ EV จีนในไทยครั้งนี้ จะแย่งบัลลังก์แบรนด์รถญี่ปุ่นที่ครองตลาดในบ้านเรามาอย่างยาวนานหรือไม่ ?
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แบรนด์รถญี่ปุ่นสามารถครองส่วนแบ่งตลาดในไทยได้เกิน 80% แม้ว่าจะมีแบรนด์จีนบุกตลาดมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อปี 2023 ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ญี่ปุ่น ลดลงต่ำกว่า 80% เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี พร้อมกับการขยับของแบรนด์รถจีนที่ครองส่วนแบ่งได้มากถึง 10% เป็นครั้งแรกในไทย ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสรถ EV
ด้วยความต้องการรถ EV ในไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การรุกตลาดอย่างจริงจังในตอนนี้เป็นโอกาสที่ดี และแบรนด์จากจีนเองก็หวังที่จะคว้าโอกาสนี้แบบไม่รอใคร เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Hozon New Energy Automobile ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Neta ที่เพิ่งจะเป็นที่รู้จักในประเทศไทย ได้ประกาศแผนเพิ่มยอดขายมากขึ้นสองเท่าที่ 30,000 คัน พร้อมกับกางแผนเพิ่มกำลังการผลิตรถ Neta เป็นสองเท่า ที่ 20,000 คันต่อปี
สำหรับตลาดรถยนต์ในไทยที่มีการจำหน่ายประมาณ 800,000 คันต่อปี ตัวเลขเป้าหมายการผลิต 20,000 คัน ‘ถือว่าไม่น้อย’ ที่น่าสนใจคือ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเติบโตขึ้นในปีที่แล้วแบบ ‘ก้าวกระโดด’ จากน้อยกว่า 10,000 คัน เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 76,000 คัน ตามข้อมูลของ Tatsuo Yoshida นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมยานยนต์อาวุโสของ Bloomberg Intelligence
การบุกตลาด EV จีนในไทย ไม่ได้เข้ามาในฐานะ ‘ตัวเลือกที่คุ้มค่า’ สำหรับผู้บริโภค แต่ในหลาย ๆ ครั้งรถ EV จีนกลับเป็น ‘ตัวเลือกเดียว’ ของผู้บริโภค เพราะแบรนด์เจ้าตลาดจากญี่ปุ่นยังไม่มีรถไฟฟ้าให้เลือกมากนักเมื่อเทียบกับผู้ผลิตจากจีน แต่แบรนด์ญี่ปุ่น และแบรนด์อื่น ๆ ยังมีโอกาสสู้กลับด้วย ‘รถกระบะ’
Credit : GWM
ตามรายงานของ Bloomberg เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่กว่า 40% เป็นรถกระบะ โดยมี Toyota และ Isuzu ยึดครองตลาดนี้มานาน ยอดขายกระบะ 4 ใน 5 คันของทั้งสองแบรนด์นี้ล้วนแล้วแต่เป็นรถกระบะ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ขายดีก็เป็นผลมาจากภาคเกษตรกรรมของไทยที่มีขนาดใหญ่ จึงทำให้เราเห็นรถกระบะขายดีในประเทศไทยเป็นอย่างมาก
แต่ตลาดรถกระบะก็เป็นอีกหนึ่งสังเวียนที่ต้องตั้งรับกับการแข่งขันจากแบรนด์ EV จากจีน โดย Great Wall Motor (GWM) คือหนึ่งในผู้เล่นที่กำลังจะลงมาเล่นในตลาดนี้ หลังได้เปิดตัว POER SAHAR HEV รถกระบะไฮบริดรุ่นแรกในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากรถกระบะไฮบริด ดูเหมือนว่าทางค่าย GWM กำลังจะบุกตลาดด้วย ‘รถกระบะไฟฟ้า’ ในเร็ว ๆ นี้ ด้วย Michael Chong ผู้จัดการทั่วไปของ GWM ในไทยให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทไม่มีปัญหาใด ๆ ในการพัฒนารถกระบะไฟฟ้า ซึ่งเป็นการใบ้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการออกจำหน่ายรถกระบะไฟฟ้าในอนาคต
แบรนด์ญี่ปุ่นก็เล็งเห็นความสำคัญของตลาดนี้เช่นกัน และเป็นการแข่งขันที่ต้องจับตามอง โดยทางฝั่ง Toyota ได้ประกาศแผนเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้า Hilux ในไทยภายในปี 2025 ขณะที่ Isuzu ก็ได้มีการเปิดตัว D-Max ไฟฟ้า ให้เห็นภายในงาน Motor Show ครั้งที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน และรุ่นนี้มีการผลิตที่ไทยด้วย
แม้ว่ารถกระบะ EV คือโอกาสใหม่ แต่จะทำอย่างไรถึงจะสู้กับจีนที่ได้เปรียบเรื่องต้นทุน ?
Credit : MG
การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าจีนในไทย มีสาเหตุหลักมาจากโครงการสนับสนุนจากภาครัฐ ที่ประกาศใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งมอบเงินอุดหนุนสูงสุด 150,000 บาทต่อคัน พร้อมกับการยกเว้น - ลดภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนดูจะเติบโตมากขึ้นไปอีก หลังไทยวางแผนสนับสนุนการรถยนต์ไฟฟ้าระยะยาวด้วยมาตรการใหม่ ‘EV 3.5’ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2567 - 2670 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรม EV ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ไทย ถือว่าเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดใน South East Asia จนได้รับฉายาว่า ‘ดีทรอยด์แห่งเอเชีย' เนื่องจากมีผู้ผลิตรถญี่ปุ่นเข้ามาจัดตั้งโรงงานในบ้านเราเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้ได้ดึงดูดแบรนด์ผู้ผลิตจากจีนเข้ามาลงทุน และจัดตั้งโรงงานในไทยด้วย ประกอบกับมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ จึงทำให้ตอนนี้แบรนด์ EV จีนรายใหญ่ทั้ง BYD, Ora, Neta, GWM, GAC หรือ Changan เดินเครื่องพร้อมคลอดรถ EV จากไลน์ผลิตในบ้านเราแล้ว
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาจัดตั้งโรงงานรถ EV อาจไม่ได้ทำให้ไทยได้รับประโยชน์มากนัก เนื่องด้วยข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-จีน ที่ยกเว้นภาษีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งคัน (CBU) รวมถึงยังยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าส่วนประกอบของสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่, มอเตอร์ขับเคลื่อน, ออนบอร์ดชาร์จเจอร์, ระบบควบคุมการขับขี่, คอมเพรสเซอร์ ไปจนถึงระบบบริหารแบตเตอรี่ (BMS)
ด้วยมาตรการเหล่านี้ อาจส่งผลให้ผู้ผลิตในไทย ‘ไม่มีความสามารถ’ ที่จะแข่งขันตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เพราะผู้ผลิตจีนสามรถนำเข้าชิ้นส่วนต่าง ๆ มาประกอบ และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด้วยตนเอง ไทยอาจเป็นเพียงผู้ผลิต และถูกใช้เป็นพื้นที่ Re-routing เพื่อผลิต และส่งออกให้กับจีน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด