ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 กระแสการดูแลสุขภาพเริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
และการระบาดของเชื้อไวรัส ยิ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นกระแสรักสุขภาพมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณไปทั่วโลก เพราะมนุษย์เริ่มตระหนักว่า หนึ่งในวิธีสำคัญที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคผู้รุกราน นั่นก็คือ การทำให้ตัวเราแข็งแรง มีเกราะป้องกันที่มีคุณภาพที่สุดมีภูมิต้านทานสูงขึ้น ซึ่งการจะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ต้องอาศัยความมีวินัย ความรู้ ในการหมั่นบำรุง ดูแลร่างกายของเราอยู่เสมอ เพราะกว่าจะได้รับสุขภาพดี ต้องใช้เวลา
ปัจจัยอีกข้อหนึ่งที่ทำให้การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือ หลายประเทศทั่วโลกกำลังทยอยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ หรือ UN ในปี ค.ศ. 2020 ทั่วโลกมีประชากรผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เฉลี่ยประมาณ 13.5% หรือเป็นจำนวนประมาณ 1,049 ล้านคนทั่วโลก และจะเพิ่มเป็น 21% หรือ 2,100ล้านคนในปี ค.ศ. 2050
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปี พ.ศ. 2564 เรามีผู้สูงอายุที่อายุเกิน 60 ปี ราวๆ 13 ล้านคน หรือประมาณ 20% ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และมีการประเมินว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ปี พ.ศ. 2575 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสูงสุดคือ มีคนอายุเกิน 60 ปี สูงถึง 28% ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไปในวงกว้าง ทั้งภาคเศรษฐกิจ ภาคสังคมและระดับครอบครัว
หมอแอมป์ - นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วนกรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic)กล่าวแสดงความกังวล “เพราะเมื่อผู้สูงอายุมากขึ้น แต่คนเกิดน้อยลง คนวัยทำงานจึงลดจำนวนลงด้วย ทำให้ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อมาเลี้ยงดูทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่ ภรรยา สามีและลูก แต่รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ ไปจนถึงรุ่นปู่ย่าตายาย”
ในปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยมีอัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการเสียชีวิต สิ่งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ตั้งแต่ระดับเล็กจนไปถึงระดับใหญ่ เมื่อประเทศมีคนทำงานน้อยลง ศักยภาพในการเดินหน้าผลักดันประเทศก็จะน้อยลงตามไปด้วย การจัดเก็บภาษี การจัดเก็บรายได้ก็จะน้อยลง ต้องพึ่งพาการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศมากขึ้นดังนั้นย่อมดีกว่า หากมีการวางแผนดูแลสุขภาพตัวเราและผู้ใหญ่ในบ้านให้อายุมากขึ้นแบบมีคุณภาพ ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรครุมเร้า และช่วยเหลือตัวเองได้
ปัจจัยอีกข้อหนึ่งที่ผลักดันให้มนุษย์หลายคนหันกลับมาวางแผนดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย ก็คือโรคที่เกิดจากน้ำมือตัวเรา หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ Non-communicable diseases (NCDs)’ กลุ่มโรคนี้เป็นปัจจัยกระตุ้นให้คนทั้งโลกเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ
คุณหมอแอมป์อธิบายว่า “เพราะกลุ่มโรค NCDs เปรียบเสมือน เพชฌฆาตเงียบ ที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา แอบซ่อนเข้ามาในรูปแบบต่างๆ เช่น การนอนน้อย ความเครียดสะสม การรับประทานอาหารไม่ดี ไม่มีประโยชน์ เช่น อาหารหวานจัด มันจัด เค็มจัด เนื้อสัตว์แปรรูป น้ำตาล High Fructose Corn Syrup (HFCS) ไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว การไม่ออกกำลังกาย การขยับตัวน้อยๆ ไปจนถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษต่างๆ สุรา บุหรี่ และฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นต้น”
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกหรือ WHO รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2563 ผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากกลุ่มโรค NCDs สูงถึง71% หรือเป็นจำนวน 41 ล้านคนทั่วโลก และ WHO ยังรายงานอีกว่า ในปี พ.ศ. 2562 คนไทยเสียชีวิตด้วยกลุ่มโรคNCDs สูงถึง 76.58% มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก หรือนับเป็นจำนวนเท่ากับ 351,880 คน “หากคำนวณง่ายๆ ทุกๆ 1ชั่วโมง จะมีผู้เสียชีวิตจากโรค NCDs สูงถึง 44 คน” คุณหมอ แอมป์ กล่าว
กลุ่มโรค NCDs หรือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ประกอบไปด้วยโรคต่างๆ ที่ส่วนใหญ่ เกิดมาจากหลายปัจจัยทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต แต่สิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่วันนี้คือ ‘วิถีชีวิต’ ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติตัวของเรา
โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก หรือ Stroke โรคนี้คร่าชีวิตประชากรไทยเป็นอันดับหนึ่งในตระกูลโรคNCDs
โรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง
โรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคมะเร็งหลายชนิด
โรคทางเดินหายใจและปอด
7.โรคสุดท้าย คือ โรคอ้วน
จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ “กระแสการดูแลสุขภาพ” เติบโตไปทั่วโลก สถาบันโกลบอลเวลเนส (Global Wellness Institute; GWI) ประเมินมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพทั่วโลก (Global Wellness Economy) พบว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างมากตลอดหลายปีที่ผ่านมามูลค่าการตลาดทางด้านสุขภาพทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2560 อยู่ที่ 4.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ในปี พ.ศ. 2562 ขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 4.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เฉลี่ยเติบโตประมาณ 6-7 % ทุกปีติดต่อกันมาตลอดหลายปีจนมาถึงช่วงโควิดระบาด ส่งผลกระทบให้การเดินทางยากขึ้นหลายประเทศมีการปิดเส้นทางการเดินทาง ต้องอยู่แต่ในประเทศตัวเอง เพื่อการควบคุมโรค ทำให้มูลค่ารวมของกระแสธุรกิจทางด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นมาตลอด 10 ปี ร่วงลงไป ในปี พ.ศ. 2563 ร่วงลงมาอยู่ที่ 4.4ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าภาพรวมมูลค่าเศรษฐกิจจะตกลง แต่ยังมีอยู่ 4 สาขาที่ยังคงเติบโต สวนกระแส แม้กระทั่งช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 นั่นคือ
4.Healthy eating, Nutrition and Weight loss เกี่ยวข้องกับอาหารสุขภาพ อาหารที่รับประทานแล้วดีกับร่างกายอาหารไขมันต่ำ อาหารน้ำตาลต่ำ อาหารโซเดียมต่ำ อาหารลดน้ำหนัก อาหารออร์แกนิค ในปีพ.ศ. 2563 สาขานี้มูลค่าสูงถึง 945,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตสูงขึ้น 3.6%
ทั้งหมดนี้คือ 4 สาขาที่เติบโตขึ้น แม้ว่า จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ส่วนสาขาที่มูลค่าลดลงมากที่สุดคือ Wellness Tourism เพราะข้อจำกัดทางด้านการเดินทางและการควบคุมโรคระบาด
Wellness Tourism หรือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อสร้างความเข้าใจในรายละเอียด ว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพคืออะไร
มูลค่าของ Wellness Tourism ในปี พ.ศ. 2561 มีมูลค่าสูงถึง 617,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีต่อมาพ.ศ. 2562 เติบโตขึ้นถึง 720,400 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 8.1% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยมูลค่าโดยรวมของสาขาธุรกิจเวลเนสทั้งหมดที่เติบโตปีละ 6.4% อย่างไรก็ตามปี พ.ศ. 2563 มาตรการควบคุมโรคโควิด 19 ทำให้มูลค่าตลาดเล็กลง เหลือเพียง 435,000 ล้านเหรียญสหรัฐตกลงมาถึง 39.5% และมีการคาดการณ์ว่า ในปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา มูลค่าได้กลับมาเท่ากับ 652,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกลับมาเติบโต 20.9 %
คุณหมอแอมป์แสดงความคิดเห็นว่า “ถ้ากลับมาเปิดประเทศ หรือโรคระบาดสามารถควบคุมได้ ความอันตรายลดลง การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว จะช่วยให้กระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกลับมาแน่นอน”
จากการประเมินของ Global Wellness Institute การท่องเที่ยงเชิงสุขภาพ จะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด จากปีนี้ไปอีกหลายปี โดยเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 20.9% และมูลค่าสาขานี้จะทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2567 พอรู้อย่างนี้แล้ว ผู้ประกอบการสามารถเตรียมตัวให้พร้อมไว้ได้เลย
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ BDMS Wellness Clinic
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด