Bluebik เตรียมให้คำปรึกษาตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ปรับตัวรับพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) | Techsauce

Bluebik เตรียมให้คำปรึกษาตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ปรับตัวรับพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

Bluebik เผย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Personal Data Protection Act กำลังเข้ามา Disrupt โลกการทำงานด้าน Data Analytics ทำให้ข้อมูลซึ่งเป็น “หัวใจ” สำคัญของการแข่งขันยุคใหม่มีกระบวนการซับซ้อนและอ่อนไหวมากขึ้น ส่งผลให้องค์กรธุรกิจไทยเร่งวางแผนและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ แนะ "ปรับตัวได้ก่อน เดินหน้าได้เร็ว ไม่เสียโอกาสทางธุรกิจ" สบช่องออกบริการช่วยองค์กรเตรียมพร้อมองค์กรให้เข้ากับหลักเกณฑ์ ตั้งแต่ต้นน้ำประเมินศักยภาพและความพร้อม กลางน้ำวางแผนการทำงานให้สอดรับพ.ร.บ. และปลายน้ำ บริหารจัดการโครงการที่รองรับพ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล 

คุณพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (Bluebik) บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 นี้ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงและเป็นตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการทำงานด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) นับตั้งแต่ขั้นตอนจัดเก็บข้อมูล ไปจนถึงการนำไปใช้งาน ซึ่งข้อมูลถือเป็น “สินทรัพย์” สำคัญสำหรับองค์กรที่จะสามารถนำมาสร้างเป็น Insight ช่วยให้หลายองค์กรรู้จักตัวเองและลูกค้าของตัวเองอย่างถ่องแท้จนนำมาซึ่งการนำเสนอสินค้าและบริการได้อย่างตรงใจ อีกทั้งข้อมูลส่วนบุคคลถือเป็น “หัวใจ” สำคัญ สำหรับการทำ Big Data Analytics เพื่อหาสิ่งเชื่อมโยงของข้อมูลเหล่านั้นไว้ด้วยกัน โดยนำไปค้นหาแนวโน้มทางการตลาด หาความต้องการของลูกค้า รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ซึ่งเมื่อถึงวันที่พ.ร.บ.ดังกล่าวจะถูกบังคับใช้โดยกฎหมาย องค์กรจะต้องดำเนินการจัดเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้องและรัดกุม 

อย่างไรก็ดี ในส่วนขององค์กรธุรกิจที่กำลังเตรียมความพร้อมในการปรับใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล ให้เริ่มจากศึกษาความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดที่สำคัญ 4 ข้อหลักได้แก่ 

1.การขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล เริ่มตั้งแต่การเก็บรวบรวม การใช้งาน หรือการเปิดเผยข้อมูลต่อบุคคลอื่น ต้องได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องไม่กระทำเกินกว่าที่ขอความยินยอมไว้ 

2.การแจ้งวัตถุประสงค์ในการใช้ข้อมูลต่อเจ้าของข้อมูล ต้องชัดเจนและเข้าใจได้โดยง่าย ระบุระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลที่ชัดเจน 

3.การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) ต้องได้มาตรฐาน 

4.สิทธิของเจ้าของข้อมูล ต้องมีการกำหนดสิทธิการเข้าถึง ส่งผลให้องค์กรต้องมีระบบในการรองรับสิทธิของเจ้าของข้อมูล ตัวอย่างเช่น กรณีที่เจ้าของข้อมูลขอให้องค์กรลบข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง องค์กรจะต้องดำเนินการลบข้อมูลเหล่านั้นออก “ทั้งระบบ” เป็นต้น 

ซึ่งอาจเป็นปัญหากับองค์กรที่ยังมีการจัดเก็บข้อมูลแยกกันตามกลุ่มธุรกิจ (Silo) จะทำให้ไม่สามารถลบออกจากทั้งระบบ ที่สำคัญ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้กำหนดนิยามบทบาทหน้าที่ใหม่ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อกับข้อมูลต่าง ๆ เช่น Data Controller, Data Processor, Data Protection Officer ทำให้มีองค์กรจำนวนมากมองหาผู้เชี่ยวชาญเข้าช่วยวางแผนรับมือ เนื่องจากองค์กรต่างเล็งเห็นว่าการเร่งปรับองค์กรให้สอดรับกับพ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลอย่างรวดเร็วจะช่วยให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมได้โดยไม่ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ

ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมขององค์กร เราสามารถพิจารณาแนวทางการเตรียมความพร้อมขององค์กร พร้อมเสนอความช่วยเหลือในการเตรียมพร้อมให้กับองค์กรให้เข้ากับหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.ดังกล่าวออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. ขั้นต้นน้ำ องค์กรควรประเมินขีดความสามารถและความพร้อมของระบบต่าง ๆ ในองค์กร อาทิ โครงสร้างและระบบด้านไอที (IT Infrastructure)  เพื่อหาช่องว่างที่ต้องปรับปรุงให้สามารถรองรับการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งประเมินกระบวนการทำงาน (Process) โดยจะต้องดูตั้งแต่ขั้นตอนการขอความยินยอมจากเจ้าข้อข้อมูล (Consent) การจัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูลและต้องมีแผนว่าจะจัดเก็บข้อมูลในอนาคตอย่างไร

2. ขั้นกลางน้ำ องค์กรควรวางแผนในการจัดทำธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance)  ตั้งแต่การจำแนกข้อมูล (Data Classification) ไปจนถึงการกำหนดมาตรการในการปกป้องข้อมูลต่าง ๆ การวางแผนและการคัดเลือกเครื่องมือในการปกป้องข้อมูล เช่น เครื่องมือในการทำ Data Masking (การปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในฐานข้อมูล) Data Encryption  (การรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูลผ่านการเข้ารหัสข้อมูล) เป็นต้น รวมทั้งการวางแผนวางระบบไอทีที่ต้องสอดคล้องกับพ.ร.บ.คุ้มครองส่วนบุคคล

3. ขั้นปลายน้ำ องค์กรควรมีทีมงานเฉพาะกิจในการวางแผนและบริหารจัดการ  เพื่อผลักดันให้การปฏิบัติตามกฎหมาย (Implementation) เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยคณะทำงานนี้ควรเป็นมาจากตัวแทนที่เหมาะสมจากแต่ละฝ่ายงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการบริหารจัดการข้อมูลสอดคล้องกับพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลรวมทั้งเป็นไปตามเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ได้    

“องค์กรธุรกิจจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  โดยต้องประเมินทั้งในเชิงนโยบาย กระบวนการทำงานและเทคโนโลยีขององค์กร ว่าจะสอดคล้องกับบทบัญญัติของ พ.ร.บ. มากน้อยเพียงใดเพื่อทำให้ทราบว่าองค์กรต้องปรับปรุงด้านใดบ้างให้รองรับกับข้อบังคับของกฎหมาย หากองค์กรทำผิดพ.ร.บ.ดังกล่าว นอกจากจะถูกดำเนินการทางกฎหมายแล้วภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือขององค์กรและแบรนด์ก็จะเสียหายตามไปด้วย” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ส.อ.ท. เตรียมจัด FTI EXPO 2025 รวมสุดยอดนวัตกรรมอุตสาหกรรมไทย

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผนึกกำลังพันธมิตรองค์กรชั้นนำ จัดงาน FTI EXPO 2025 ภายใต้แนวคิด “4GO” ที่ครอบคลุม 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ดิจิทัล นวัตกรรม การขยายตลาดสู่ต่างประเทศ แ...

Responsive image

เดลต้า ประเทศไทย ชูธงนวัตกรรม ESG คว้าดัชนี FTSE4Good ตอกย้ำความเป็นเลิศ

เดลต้าได้รับคัดเลือกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี FTSE4Good Index Series ซึ่งจัดทำโดย FTSE Russell ผู้ให้บริการด้านดัชนีและข้อมูลระดับโลก...

Responsive image

GMM Music เผย Digital Streaming ตัวเร่งสำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงไทย

อุตสาหกรรมเพลงไทยยุคดิจิทัล
อุตสาหกรรมเพลงไทยกำลังเข้าสู่ยุคทองของการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากพลังแห่งโลกดิจิทัลที่ทำให้ดนตรีไทยทะยานสู่ระดับโลก โดยปี 2023 ตลาดเพลงไทยขยายตัว 16% เที...