ดีลอยท์ ประเทศไทย มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีหน้าอยู่ในขั้นฟื้นตัว แต่เป็นไปอย่างช้า ๆ และยังเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยต่างๆ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ พร้อมก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงแบบ “เน็กซ์นอร์มอล” ใน 4 มิติ ทั้งด้าน สังคม ธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเมือง แนะผู้นำองค์กรควรเตรียมความพร้อม 6 ด้าน เพื่อแผนสร้างการเติบโตในอนาคต
คุณสุภศักดิ์ กฤษณามระ กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19ทั่วโลกยังไม่คลี่คลายอย่างชัดเจนไปในทางบวก การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนของปัจจัยหลายอย่าง อีกทั้งยังมีการฟื้นตัวในแต่ละอุตสาหกรรมที่ไม่เท่ากัน และยังเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่การเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะกลับสู่ภาวะปกติในอนาคต ยังจำเป็นอย่างมากสำหรับทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งผู้นำองค์กรต่าง ๆ ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าจะต้องคำนึงถึงเรื่องใดและทำอย่างไร
มุมมองและการวิเคราะห์ของดีลอยท์ ได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่เน็กซ์นอมอลใน 4 มิติ ซึ่งถือเป็นโจทย์ขององค์กรต้องนำมาพิจารณา ได้แก่
คุณสุภศักดิ์ ยังกล่าวเสริมว่า สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้น ยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้เรายังไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจน เมื่อวิเคราะห์ดูจากปัจจัยภายในของไทยเองพบว่า ยังมีเรื่องความไม่สงบทางการเมือง การหยุดชะงักของธุรกิจท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ไทยเราต้องพึ่งพารายได้ในจุดนี้อยู่มาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ ผนวกกับปัจจัยภายนอกอย่างเช่น การระบาดของโควิด-19 ที่คงมีต่อเนื่อง ปัญหาด้าน Geo-political เช่น ความตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน การผ่อนปรนของมาตรการปิดประเทศ อุปสงค์ทั่วโลกยังอยู่ในแนวโน้มขาลง เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้คาดการได้ยาก และมองว่ายังต้องอดทนไปอีก 12-18 เดือนนับจากนี้
ทั้งนี้ ดีลอยท์ยังแนะให้เห็นสิ่งที่แต่ละองค์กรควรให้ความสำคัญ 6 ด้าน เพื่อให้พร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต ประกอบด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ดีลอยท์ ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของดีลอยท์เอเชียแปซิฟิค ก็ได้มีการปรับตัวภายในเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 นอกเหนือจากการจัดเตรียมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับกับมาตรการรักษาระยะห่างของพนักงานแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้บริหารระดับสูงและทีมงาน ในการวิเคราะห์ปัญหาผลกระทบลูกค้าในแต่ละอุตสาหกรรม และแนวทางการให้บริการที่สอดรับกับความต้องการ รวมทั้งการจัดทำบทความและรายงานตลอดจนสัมมนาออนไลน์ให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยบริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาการเติบโตของผลการดำเนินงานรอบปี 2563 ในระดับที่ดี (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563) มีอัตราเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 ซึ่งเป็นการเติบโตในทุกสายธุรกิจ คือ ธุรกิจตรวจสอบบัญชี เพิ่มขึ้นร้อยละ 7, ธุรกิจที่ปรึกษาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20, ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12, ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการบริหารความเสี่ยง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 และธุรกิจที่ปรึกษาด้านภาษีและกฎหมาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 9
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้วางกลยุทธ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า ให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการบริการแบบครบวงจรของแต่ละสายธุรกิจและศักยภาพในการให้บริการแบบเครือข่ายทั่วโลก โดยมองว่าอุตสาหกรรมที่พร้อมจะกลับมาเติบโตได้ก่อน 4 กลุ่มแรก คือ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มพลังงาน ซึ่งยังคงต้องการบริการที่ปรึกษาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริการด้านการบริหารกระแสเงินสด (Cash Optimization Advisory) เพื่อรักษาสภาพคล่องของกิจการ และการควบรวมกิจการ (M&A) โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าประมาณการรายได้รวมสำหรับปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ทั้งนี้ สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย คือ การรักษาคนเก่งในองค์กร โดยบริษัทฯยังคงให้ความสำคัญกับการคัดสรร การพัฒนา และการดูแลบุคลากรที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการผลักดันและขยายธุรกิจต่างๆ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด