“ธุรกิจการเงิน” คือกระดูกสันหลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ปรับตัวได้อย่างโดดเด่นที่สุดในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร สถาบันการเงินต่าง ๆ ฟินเทคสตาร์ทอัพ (FINTECH) หรือบริษัทที่อยู่ในธุรกิจการเทรดเงินคริปโตฯ ต่าง ๆ
ข้อมูลจากเอกสาร Payment Data Indicator ที่จัดทำโดย ธปท. เผย ปริมาณ e-Payment เดือนมกราคมปี 2565 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ย 320 รายการ/คน/ปี หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8.3 ล้านล้านบาท สะท้อนชัดเจนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้ที่เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยตัวแปรสำคัญคือการนำเทคโนโลยี Cloud, Blockchain, Big Data, Chatbot, AI, Machine Learning, Digital ID [Face recognition] และแพลตฟอร์ม Low-Code ต่าง ๆ มาใช้เพื่อสร้างสรรค์และปรับแต่งนวัตกรรมด้านการเงินสำหรับรองรับความต้องการของลูกค้าและพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ในระบบนิเวศทางการเงิน
ประเทศไทยมี FINTECH ที่เป็นสมาชิกของสมาคมฟินเทคประเทศไทยจำนวนเกือบ 70 บริษัท (อ้างอิงข้อมูลจาก ธปท.) ในขณะที่เทคคอมพานีต่าง ๆ ก็ปรับตัวขยายแพลตฟอร์มทางการเงินกลายเป็น TECHFIN เพื่อเติมเต็มธุรกิจของตนเองมากยิ่งขึ้น ประกอบกับกระแสการตื่นตัวรับเทรนด์ Metaverse ที่กระตุ้นการปรับแผนการดำเนินงานภายในภาคธุรกิจการเงินที่กลายเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ เกิดเป็นระบบนิเวศทางการเงินแห่งอนาคตที่พึ่งพาดิจิทัลเต็มรูปแบบ “Financeverse”
นอกจากนวัตกรรมการเงินที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าและพาร์ทเนอร์แล้ว Tech Talents & Skill sets ใหม่ ๆ ยังถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ธุรกิจการเงินมองข้ามไม่ได้ และสามารถเติมเต็มศักยภาพของบุคลากรในโลกอนาคต, นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอื่น ๆ อาทิ เครือข่ายที่รวดเร็วและมีความเสถียร, IT โซลูชั่นและเทคโนโลยีคลาวด์ที่สามารถปรับแต่ง(Customize) ได้ตามที่ธุรกิจต้องการ, ระบบ Cybersecurity ที่ทันสมัย ปกป้องหลายชั้น, และพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล (Data) ที่มีความน่าเชื่อถือและปรับขนาดได้ พร้อมความมั่นคงด้านพลังงานด้วยกำลังไฟฟ้าที่รองรับการดำเนินงานตลอด 24x7 และระบบสำรองพลังงานเต็มรูปแบบที่มีอยู่ใน Hyperscale Data Center
ด้วยปริมาณดาต้าบวกกับความคับคั่งของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมหาศาล มีความซับซ้อนมากขึ้นและที่สำคัญที่สุดข้อมูลลูกค้าถือเป็น“สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีค่าสูงสุด” ของภาคการเงินที่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์และวางแผนธุรกิจที่อ่านเกมขาดจะสามารถกำหนดกลยุทธ์การตลาด ออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินใหม่ ๆ ได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่ใช่ด้วยดาต้าที่มีในมือ อ้างอิงจาก Techjuly ระบุตลาดการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Big Data ในธุรกิจธนาคารทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่ามากถึง 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท) สอดคล้องกับปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตมือถือที่เติบโตสัมพันธ์กัน โดย Statista คาดว่าในปี65 นี้ทั่วโลกจะมีการใช้มากถึง 77.5 เอกซะไบต์ (Exabyte) นับเป็นดาต้ามหาศาลที่ต้องจัดเก็บ
นายศุภรัฒศ์ ศิวะเพ็ชรนาถ สิงหรา ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสที เทเลมีเดีย โกล บอล ดาต้าเซ็นเตอร์(ประเทศไทย) หรือ STT GDC Thailand กล่าวว่า “เราตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นระดับไฮเปอร์สเกลและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้แข็งแกร่ง มั่นคง ปลอดภัยและยั่งยืน เพื่อช่วยทำให้กระบวนการเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง ซึ่งการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ที่ตอบโจทย์ของประเทศจะต้องมองให้รอบด้านมีทั้ง ‘มาตรฐานความปลอดภัย’ (Security) และ ‘ประสิทธิผล’ (Efficiency) เป็นหลัก”
“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ เราต้องมีนวัตกรรมที่ทันสมัยและปลอดภัยมารองรับและปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม มีแนวคิดการกำหนดลำดับความสำคัญที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งการออกแบบมาตรฐานระดับสากลจะไม่เป็นเพียงการสร้างมาตรฐานใหม่ในมุมของ STT GDC Thailand หรือ ของลูกค้าเท่านั้น แต่จะสร้างความแข็งแกร่งในเชิงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสำหรับตลาดในประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ยังมีความท้าทายด้านข้อกฎหมาย และการโซนนิ่งดาต้าเซ็นเตอร์ว่าตำแหน่งที่ตั้งควรจะอยู่ที่ไหน ดังนั้นกลยุทธ์การมองเรื่องทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์กลางใจเมือง ปลอดภัยต่อภัยธรรมชาติ และสามารถขยายได้ตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา” ศุภรัฒศ์ กล่าวเพิ่มเติม
“เหตุผลสำคัญที่ภาคการเงินควรพิจารณาความได้เปรียบจากการใช้ Hyperscale Data Center มี 3 ประการ ได้แก่ 1) Scale ปรับขนาดได้ตามความต้องการของธุรกิจ รองรับปริมาณการใช้/เก็บดาต้าปริมาณมหาศาลและทวีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วได้ 2) Advance Secure มีความปลอดภัยขั้นสูงสุดทั้งรูปแบบ Physical & Virtual และ 3) ตอบโจทย์ ESG (Environmental Social and Governance) ที่กำลังเป็นข้อกำหนดพื้นฐานระดับโลกและเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำธุรกิจและการลงทุนวันนี้” นายศุภรัฒศ์ กล่าวสรุป
ในวันที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากโรคระบาดหรือความผันผวนของเศรษฐกิจ หรือผลกระทบจากภาวะสงครามที่เป็นตัวเร่งในการปฏิวัติโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลให้คนทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำงานเป็นรีโมทเวิร์ค และใช้ชีวิตผ่านออนไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการถูกล็อคดาวน์ ข้อมูลจำนวนมหาศาลถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI, IoT, นวัตกรรมของระบบคลาวด์ โซลูชั่นจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ผู้ผลิตคอนเทนต์ และผู้ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ตลอดจนองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ผลักดันให้การรักษาความปลอดภัยดิจิทัลและความสามารถในการปรับขนาดธุรกิจได้เกิดความสำคัญเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจในอุตสาหกรรมการเงินที่เป็น Backbone สำคัญของระบบเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์จากฝั่งธุรกิจที่ต้องการความมั่นคงด้านข้อมูล ในขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ ๆ ของอุตสาหกรรมการเงินทั่วโลกและนำไปสู่ความมั่นใจในระบบดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลที่เป็นหัวใจสำคัญของการจัดเก็บข้อมูลที่สามารถกำหนดแนวทางความสำเร็จของธุรกิจในอนาคตได้ชัดเจนและยั่งยืน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด