IMF คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้อาจหดตัวถึง 4.9% ตามรายงาน World Economic Outlook เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยปรับลดลงจากประมาณการเดิมในเดือน เม.ย. ที่ติดลบ 3.0% จากการแพร่ระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ได้สร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีมากกว่าที่คาด โดยเฉพาะผลกระทบที่รุนแรงต่อครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ
ซึ่งคาดว่าจะทำให้โลกต้องเผชิญกับความยากจนที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990 สำหรับปี 2021 ประเมินว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัว 5.4% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 5.8% ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่ต่ำกว่าก่อนเกิด COVID-19
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าระดับปกติค่อนข้างมาก และการฟื้นตัวที่คาดว่าจะช้ากว่าที่ประเมินไว้ ยิ่งสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น โดยนับจากนี้ โลกต้องเผชิญกับ มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ต่อไป ซึ่งจะยิ่งกระทบต่อแนวโน้มการผลิต (Supply potential) อย่างรุนแรง โดยการปรับลดประมาณการมีสาระสำคัญดังนี้
อุปสงค์โดยรวมชะลอตัว รวมไปถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วหดตัวราว 1.3 ppt นับตั้งแต่ปลายปี 2019 สู่ระดับ 0.4%YoY ในเดือน เม.ย. ส่วนกลุ่มประเทศเกิดใหม่หายไป 1.2 ppt สู่ระดับ 4.2%YoY เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเผชิญกับอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอท่ามกลางหนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาล
กลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว 8.0% ในปี 2020 จากประมาณการเดิมที่หดตัว 6.1% จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่น่าจะกลับมาฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้ เนื่องจากหลายประเทศยังเผชิญแรงกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อไป สำหรับปี 2021 คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 4.8% ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าระดับปี 2019 ถึง 4.0% อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ รวมไปถึงปัญหาหนี้ที่อยู่ในระดับสูง อาจกลายเป็นตัวฉุดอุปสงค์ในประเทศ กดดันให้เข้าสู่เงินฝืดในระยะต่อไป
กลุ่มเศรษฐกิจกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ สะท้อนอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรงมากขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจกลุ่มนี้จะติดลบ 3.0% ในปี 2020 และขยายตัวที่ 5.9% ในปี 2021 ทั้งนี้ ยังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่าจะหดตัวมากถึง 7.7% เมื่อเทียบกับประมาณการเดิมที่หดตัว 6.7% ก่อนที่จะพลิกกลับมาขยายตัวที่ 5.0% ในปี 2021 (ประมาณการเดิมที่ 6.1%) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำอย่างรวดเร็ว ยังส่งผลกระทบต่อรายได้สุทธิและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นหลัก
คาดหนี้สาธารณะทั่วโลกแตะระดับสูงสุดตลอดกาลเกินกว่า 100% ต่อจีดีพี อยู่ที่ 101.5% และ 103.2% ในปี 2020-2021 ขณะที่การขาดดุลงบประมาณทั่วโลกคาดว่าจะอยู่ที่ 14% ต่อจีดีพี เนื่องจากรายได้ภาครัฐที่อาจลดลงอย่างหนักจากรายได้ภาคครัวเรือนและธุรกิจที่ปรับตัวลดลง รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนได้รับแรงปะทะอย่างรุนแรงจาก COVID-19
รุนแรงขึ้น (Trade Protectionism) ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติก็คาดว่าจะยังไม่กลับมาจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกจะเริ่มคลี่คลาย ส่วนอุปสงค์ในประเทศก็ดูเหมือนจะอ่อนแรงลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือนรุมเร้า “มาตรการทางการคลังแบบเร่งด่วน” จึงกลายเป็นตัวขับเคลื่อนเดียวที่มีอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ แม้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยจะยังอยู่ในกรอบวินัยทางการคลังที่ 42.88% หรือเกือบ 7.9 ล้านล้านบาท/1 แต่ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไปที่ส่อเค้ายังไม่ฟื้นกลับไปสู่จุดเดิมในปี 2019 ทำให้จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติม ส่วนการจัดเก็บรายได้รัฐก็มีแต่จะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งยิ่งทำให้เกิดขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง และส่งผลให้หนี้สาธารณะพอกพูนจนกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่วนกลับไปซ้ำเติมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
บทความโดย พิมฉัตร เอกฉันท์ Krungthai COMPASS
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด