
ในธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ หลายคนอาจมองว่าผู้ชนะคือผู้ที่มีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด หรือดอกเบี้ยน่าดึงดูดใจที่สุด แต่สำหรับ กรุงศรี ออโต้ ผู้นำตลาดที่ครองส่วนแบ่งกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ คำตอบกลับลึกซึ้งกว่านั้น พวกเขากำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับกลยุทธ์ที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังที่สุด นั่นก็คือ ‘คน’
Techsauce มีโอกาสพูดคุยกับ 3 ผู้บริหารจาก ธนาคารกรุงศรียุธยา จำกัด (มหาชน) ในธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ (กรุงศรี ออโต้) ได้แก่
เพื่อเจาะลึกเบื้องหลังการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญที่กำลังเปลี่ยนยักษ์ใหญ่แห่งวงการการเงินให้เคลื่อนที่ได้เร็วและแรง และค้นหาคำตอบว่า DNA แบบไหนที่องค์กรนี้กำลังมองหา

“สำหรับผม การทำธุรกิจก็เหมือนการเล่นกีฬา เราต้องหาจุดแข็งหรือ ‘ท่าไม้ตาย’ ของเราให้เจอ แล้วทำมันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก”
หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า เบื้องหลังบทบาทผู้บริหารของกรุงศรี ออโต้ อย่างคุณคงสิน คงคา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรียุธยา จำกัด (มหาชน) เคยเป็นนักกีฬาตัวยงที่เล่นกีฬาหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ฮอกกี้น้ำแข็ง แบดมินตัน บาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล เบสบอล โดยเฉพาะกอล์ฟ ซึ่งเป็นกีฬาที่คุณคงสินได้เล่นในระดับอาชีพ

“การแก้จุดอ่อนอาจทำให้เราทำได้แค่ ‘เท่ากับ’ คู่แข่ง แต่การเสริมจุดแข็ง มันคือการสร้าง ‘ท่าไม้ตาย’ หรือ ‘Superpower’ ที่จะทำให้เรา ‘ชนะ’ ได้อย่างเด็ดขาด”
ประสบการณ์จากการเล่นกีฬาทั้งในประเภทเดี่ยวและทีมของคุณคงสิน ได้หล่อหลอมวิธีคิดแบบนักกีฬา ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์ที่คุณคงสิน นำมาใช้บริหาร กรุงศรี ออโต้ ที่เรียกว่า 'B.I.G.’ ซึ่งหมายถึง ความได้เปรียบ 3 อย่างในการแข่งขันที่สำคัญ ได้แก่
B - Brand Experience มอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าเพื่อเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจลูกค้า
I - Innovation การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ด้วยการไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมเพื่อผู้ใช้รถ
G - Great Team ทีมที่ยอดเยี่ยมซึ่งเต็มไปด้วยพลังของ “Challenge” Achievers คือผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์ทั้งหมด
คุณคงสิน กล่าวเพิ่มเติมว่า B, I, และ G จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มี ‘คน’ ดังนั้น ทีมที่ยอดเยี่ยม จึงเป็นหัวใจของทุกสิ่ง และเป็นสิ่งที่กรุงศรี ออโต้ ให้ความสำคัญในระดับสูงสุด
เมื่อถามว่าทำไมกลยุทธ์ด้านบุคลากรจึงถูกยกให้มีความสำคัญสูงสุด คุณคงสิน อธิบายผ่านโมเดล 4WINS หรือการให้คุณค่าแก่คนทั้ง 4 กลุ่ม คือ พนักงาน, ลูกค้า, คู่ค้าและสังคม, ผู้ถือหุ้น
“ผมเชื่อว่าทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่พนักงาน ถ้าเราสามารถสร้าง Employee Experience ที่ดี ทำให้พวกเขามีความสุขและมีพลังใจ ผมก็หวังว่าพวกเขาจะนำประสบการณ์และความรู้สึกนั้นไปสร้างคุณค่าที่ยอดเยี่ยมให้กับอีก 3 กลุ่มที่เหลือได้เอง”
นี่คือเบื้องหลังแนวคิด ‘People First’ ของกรุงศรี ออโต้ ที่ยึดมั่นในเรื่องของการดูแลพนักงาน โดยเชื่อว่าหากบริษัทสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานได้ พวกเขาจะส่งต่อคุณค่านั้นไปสู่ลูกค้า และสังคม

“คนส่วนใหญ่มักถูกสอนให้เริ่มจากความฝัน แต่ในชีวิตจริง เราทุกคนตื่นมาเจอกับความท้าทายทุกวัน ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริงในมุมของผมจึงเริ่มต้นจากความท้าทาย”
นอกจากคอนเซ็ปต์ B.I.G. แล้ว คุณคงสิน ยังได้ตกผลึก ‘วิธีคิดแบบผู้ชนะ’ ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การเป็นผู้นำในตลาด นั่นคือ ‘การสร้างสรรค์ชีวิตผู้ใช้รถให้ดีขึ้น (Creating a better everyday life for automobile users)’
หัวใจสำคัญของภารกิจนี้คือคำว่า ‘ผู้ใช้รถ’ ซึ่งในวิสัยทัศน์ของคุณคงสินหมายถึงทุกคนที่ใช้รถไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ลูกค้าของกรุงศรี ออโต้ ก็ตาม
ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนสู่การสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Value) ที่มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจไปพร้อมกับการสร้างประโยชน์คืนสู่สังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ตั้งแต่พนักงาน คู่ค้า ไปจนถึงผู้ใช้รถทุกคน ซึ่งการพัฒนาแอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ (GO by Krungsri Auto Application) ให้เป็น Automobile Lifestyle Ecosystem ก็เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของแนวคิดนี้

วิสัยทัศน์ของคุณคงสิน ถูกถ่ายทอดมาผ่านเส้นเลือดของคนกรุงศรี ออโต้ หนึ่งในนั้นคือทีม Digitalization ที่นำโดยคุณชนากิติ์ โบลาท ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายดิจิทัล ธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรียุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหัวหอกในการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมการทำงานครั้งใหญ่ภายในองค์กร
“โจทย์แรกที่ได้รับจากผู้บริหารคือ เราต้องทรานส์ฟอร์มวิธีการทำงานเพื่อรับมือกับ Digital Disruption เราจึงเริ่มต้นการตั้งทีมไพโอเนียร์ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนการทำงานจาก Waterfall สู่ Agile”
คุณชนากิติ์ เริ่มเล่าถึงที่มาที่ไปของการเริ่มทรานส์ฟอร์มวิธีการทำงานให้ Techsauce ฟัง โดยทีมไพโอเนียร์ที่ว่านี้ เป็นทีมเล็กๆ ที่มีสมาชิกราว 12 คน ซึ่งได้กลายเป็น ‘หัวเชื้อ’ สำคัญที่ทลายกำแพงวิธีการทำงานแบบเดิม
พวกเขาทำงานร่วมกันเป็นทีมเดียว ทดลอง และเรียนรู้ไปด้วยกัน และสิ่งที่ทำให้การทรานส์ฟอร์มสำเร็จได้คือ เราได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารทุกคนและหน่วยงานต่าง ๆ ในกรุงศรี ออโต้ จนปัจจุบัน กรุงศรี ออโต้ มีทีมที่ทำงานแบบ Agile มากถึง 44 ทีมทั่วทั้งองค์กร ซึ่งคุณชนากิติ์ บอกว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ ที่ต้องเข้าใจธุรกิจ และมองเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ ‘สร้างคุณค่าให้ลูกค้า’
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนของการทรานส์ฟอร์มครั้งนั้นคือแอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ แอปพลิเคชันที่เกิดจากแนวคิดที่ต้องการสร้างสรรค์ชีวิตผู้ใช้รถให้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของกรุงศรี ออโต้

คุณชนากิติ์ เล่าต่อว่า การพัฒนาแอปพลิเคชันนี้ขึ้นมา ทีมมองไปไกลกว่าแค่เรื่องสินเชื่อ เรามีการทำ Research รวมถึงการสอบถามผู้ใช้รถและพนักงานที่ใช้รถยนต์ และจักรยานยนต์ว่า พวกเขามี Pain Point อะไรบ้าง แล้วรวมทุกอย่างมาไว้ในแอปฯ เดียวเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้รถ ทั้งการต่อภาษี, ประกัน, ความรู้และ content ต่าง ๆ รวมถึงการแก้ปัญหาในการหาที่ชาร์จ EV ไปจนถึงการวางแผนท่องเที่ยว เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตผู้ใช้รถให้ดีขึ้น
แต่เส้นทางกว่าจะมาเป็น แอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทีมงานดิจิทัลต้องเผชิญความท้าทายหลายอย่าง เช่น

“คนที่จะทำงานที่นี่ต้องมี 2 อย่างคือ Digital Mindset และ Growth Mindset คือต้องคิดแบบดิจิทัล เพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้า และต้องมีทัศนคติที่เชื่อว่าเราสามารถทำสิ่งที่ท้าทายให้สำเร็จได้
คุณชนากิติ์ เล่าว่า การจะขับเคลื่อนองค์กรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้นั้น พนักงานต้องมี DNA แบบ “Challenge” Achievers ซึ่งเป็นผู้ที่กล้าเผชิญความท้าทาย นำมาเป็นแรงผลักดันเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า
คุณชนากิติ์ ให้ข้อมูลว่า วัฒนธรรมของกรุงศรี ออโต้ โดดเด่นในเรื่องของการให้อำนาจตัดสินใจ และการเปิดกว้างที่พนักงานสามารถเดินเข้าไปคุยกับผู้บริหารได้เสมอ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย กล้าคิด กล้าลอง และพร้อมเรียนรู้จากความผิดพลาด

DNA และวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการวางวิธีการสร้างคนอย่างมีกลยุทธ์ โดยทีมทรัพยากรบุคคล ที่นำโดย คุณศรีสุดา นิตติวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานทรัพยากรบุคคล ธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรียุธยา จำกัด (มหาชน)
กรุงศรี ออโต้ เชื่อว่าความสุขสร้างได้ในที่ทำงาน และความสุขของคนเก่ง อาจไม่ได้มาจากการทำงานที่ง่ายเสมอไป แต่มาจากการพิชิตงานที่ท้าทายได้สำเร็จ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิด “Challenge” Achievers ที่ต้องการขับเคลื่อนทั้งคน และธุรกิจไปพร้อมกัน
แนวคิดนี้ได้ถูกพิสูจน์มาแล้ว ตลอดที่องค์กรต้องเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายรูปแบบ วัฒนธรรมที่แข็งแกร่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาก้าวข้ามทุกปัญหา และเติบโตจนกลายเป็น ‘Market Leader’ หรือผู้นำด้านสินเชื่อยานยนต์ ที่ไม่ได้แค่ปรับตัวตามตลาด แต่เป็นผู้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทาเลนต์หลายคนมองหา

สำหรับกรุงศรี ออโต้ คำว่า ‘Drive What Matters’ ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่คือคุณค่าการทำงานที่ฝังลึกในวัฒนธรรมองค์กร ที่ส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมุ่งเน้นการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง การพัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และไม่ลืมที่จะสร้างประสบการณ์ทำงานที่ดีให้กับพนักงาน ผู้ที่กำลังขับเคลื่อนสิ่งที่มีความหมายให้กับลูกค้า และสังคม
‘Drive What Matters’ ผลักดันให้ทุกคนมองไกลกว่าการทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่ให้มองหาโอกาสที่จะ ‘ทำอะไรก่อนตลาดเสมอ" เพื่อขับเคลื่อนทั้งองค์กรและสังคมไปสู่สิ่งที่ดียิ่งขึ้น การทำงานภายใต้คุณค่านี้จึงไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จเพียงอย่างเดียว แต่คือการทำงานให้สำเร็จอย่างมีเป้าหมาย
หากใครกำลังมองหาประสบการณ์ที่แตกต่าง คุณศรีสุดา ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนว่า สิ่งแรกที่หาจากที่อื่นไม่ได้คือ การได้เป็นพนักงานของ ‘ผู้นำ’ ในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งสถานะนี้มอบโอกาสและมุมมองการทำงานที่ไม่เหมือนใคร
เราจะได้เรียนรู้ที่จะ เปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นความสำเร็จ ซึ่งเป็นแนวคิดและกระบวนการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์
เราจะได้ซึมซับจิตวิญญาณของ “Challenge” Achievers ที่เป็นคนสู้ไม่ถอยและกระหายในความสำเร็จอยู่เสมอ ดังนั้น สิ่งที่เราจะได้รับกลับไปไม่ใช่แค่ประสบการณ์การทำงานในองค์กรชั้นนำ แต่คือการเปลี่ยนแปลงตัวตนให้กลายเป็นมืออาชีพที่แข็งแกร่ง มองเห็นโอกาสในทุกวิกฤต และพร้อมที่จะเป็นผู้ชนะในทุกสนามการแข่งขัน
"เรามองหา ‘คนที่ใฝ่หาการเติบโต พร้อมรับทุกความท้าทาย’ และเรามีระบบที่จะหล่อหลอมพวกเขา"
คำถามคือ เราจะสร้าง “Challenge” Achievers ได้อย่างไร ? คุณศรีสุดา ก็เล่าให้ฟังว่า องค์กรมีกลไกที่เป็นระบบเพื่อส่งเสริม และต่อยอดคนเก่งที่มี Growth Mindset เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์เพื่อเฟ้นหาบุคลากรที่มีศักยภาพสูงจากทั่วทั้งองค์กร ซึ่งเป็นการมองที่ลึกกว่าแค่ตัวชี้วัดผลงานทั่วไป เมื่อพบ ‘คนเก่ง’ แล้ว พวกเขาจะถูกนำมาวางแผนการเติบโตแบบรายบุคคลที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นรอบด้าน จากนั้นจึงต่อยอดด้วยโปรแกรมการเรียนรู้ทักษะใหม่และยกระดับทักษะเดิม ที่มีเป้าหมายชัดเจน โดยเฉพาะการเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นำ เพื่อเตรียมความพร้อมให้พวกเขาก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารที่จะขับเคลื่อนองค์กรในอนาคต
ที่น่าสนใจคือ พนักงานกรุงศรี ออโต้ มีอายุงานนาน 6-10 ปี และมากกว่า 10 ปี เป็นสัดส่วนเกินครึ่งของบริษัท ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การพัฒนาและรักษาคนในระยะยาวของกรุงศรี ออโต้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ทีม HR ของกรุงศรี ออโต้ ได้เปลี่ยนบทบาทตัวเองจากการเป็นหน่วยงานสนับสนุน มาเป็นเหมือน Product Team ที่พัฒนาเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหา และลดความติดขัดในด้าน People Management ทั้งหมดนี้เพื่อปลดล็อคศักยภาพพนักงานออกมาสูงสุด หนึ่งในเครื่องมือที่ว่านี้คือ KARE Application
“KARE Application คือ Employee Ecosystem ที่รวมไลฟ์สไตล์การทำงานและฟังก์ชันที่จำเป็นต่างๆ ไว้ในที่เดียว เพื่อให้พนักงานได้สัมผัสกับประสบการณ์การทำงานที่ดีอย่างไร้รอยต่อ และยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า HR สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดูแลและพัฒนา Well-being ของพนักงานได้อย่างเป็นรูปธรรม”
นอกจากนี้ HR ยังมีการนำเทคโนโลยี Automation และ Robotic Process Automation (RPA) เข้ามาใช้ เพื่อคืนเวลาและพลังสมอง ให้กับพนักงาน พวกเขาจะได้โฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจที่ซับซ้อนได้มากขึ้น

การทำงานแบบ Work-Life Balance นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่พนักงานต้องการ ซึ่งใน กรุงศรี ออโต้ ก็ได้ออกแบบแนวทางการทำงานที่ตอบโจทย์คนทำงานยุคปัจจุบันได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น
นโยบายการทำงานแบบไฮบริดของกรุงศรี ออโต้ ได้ถูกยกระดับจากมาตรการระยะสั้นในช่วงโควิด-19 ให้กลายเป็นนโยบายถาวร โดยหลักการสำคัญคือมอบความยืดหยุ่นให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) เพื่อจัดสรรสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันยังคงยึดหลักความรับผิดชอบต่อผลงาน ซึ่งพนักงานยังต้องส่งมอบงานที่มีคุณภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
สำหรับโครงการ ‘Work-Life Simple’ เป็นโครงการที่ริเริ่มจากการรับฟังเสียงของพนักงานโดยตรง ที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของขั้นตอนการทำงาน โดยให้พนักงานในแต่ละทีมเป็นผู้ริเริ่มออกแบบและเสนอแนวทางการ "ลด ละ เลิก" ขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในกระบวนการทำงานของตนเอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและทำให้การทำงานง่ายขึ้น รวมถึงทำให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมและรู้สึกว่าเสียงของพวกเขาได้รับการรับฟัง ส่งผลโดยตรงต่อความสุขและความผูกพันกับองค์กร
เรื่องราวของกรุงศรี ออโต้ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนยั่งยืนที่สุด คือการลงทุนใน ‘พนักงาน’ และ ‘วัฒนธรรม’ เพราะเมื่อองค์กรมีทีมที่พร้อมพิชิตทุกความท้าทาย ความสำเร็จทางธุรกิจก็ย่อมตามมาเป็นผลลัพธ์สุดท้ายเสมอ
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด