Mahidol ค้นพบวิธีระบุอัตลักษณ์ 'เจ้าทุย' ด้วยเทคนิค AI จดจำและจำแนก 'ลายจมูก' ครั้งแรกในไทย | Techsauce

Mahidol ค้นพบวิธีระบุอัตลักษณ์ 'เจ้าทุย' ด้วยเทคนิค AI จดจำและจำแนก 'ลายจมูก' ครั้งแรกในไทย

ดร.วรพันธ์ คู่สกุลนิรันดร์ และคณะวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol University) ค้นพบเทคนิคการใช้ AI หรือ Machine Learning เพื่อการจดจำและระบุอัตลักษณ์ของ "กระบือปลัก" โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ "ลายจมูก" ซึ่งนอกจากจะไม่ทำให้สัตว์เจ็บแล้ว ยังสามารถพัฒนาต่อยอดโดยใช้เป็นแพลตฟอร์มในการจดจำและระบุอัตลักษณ์ของสัตว์เศรษฐกิจประเภทอื่นๆ ต่อไปได้อีกในอนาคต

มหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol University) ค้นพบเทคนิคการใช้ AI หรือ Machine Learning เพื่อการจดจำและระบุอัตลักษณ์ของ "กระบือปลัก" โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ "ลายจมูก"

เนื่องจากหากมองย้อนไปถึงการได้มาซึ่งข้าว จากบรรดานักเก็บเกี่ยวผู้เป็นอันดับต้นๆของห่วงโซ่จะพบว่า 'ชาวนา' เปรียบเหมือน 'กระดูกสันหลังของชาติ' คอยปลูกข้าวเลี้ยงคนในชาติให้อิ่มท้อง 'เจ้าทุย' หรือ 'ควาย' เปรียบได้กับ"กระดูกสันหลังของชาวนา" อีกทีโดยเป็นทั้ง "เครื่องมือ" ในการทำนา และเป็น "เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก" ของชาวนามานับตั้งแต่ที่มีการใช้ควายไถนาเกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก

Buffalo ไทยก็มีอัตลักษณ์

ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลให้ รองศาสตราจารย์ ดร.วรพันธ์ คู่สกุลนิรันดร์ อาจารย์ประจำกลุ่มวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะวิจัยนำโดย นายสัตวแพทย์อุดม เจือจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างกรมปศุสัตว์ รองศาสตราจารย์ ดร. นายสัตวแพทย์อนุวัตน์วิรัชสุดากุล คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลพร้อมทั้ง นายสัตวแพทย์อภิชาติ ภะวัง นายสัตวแพทย์บพิธปุยะติ นายสัตวแพทย์สุรพงษ์ เสนาใหญ่ สัตวแพทย์หญิงธีราภรณ์ พรหมภักดี และสัตวแพทย์หญิงสุนิสา กินาวงศ์ กลุ่มนักวิจัยไทยที่เป็นกลุ่มบุกเบิก และไขความลับที่น่าอัศจรรย์ของธรรมชาติที่ว่า ในขณะที่ "คน" ใช้ "ลายนิ้ว" ในการระบุอัตลักษณ์ แต่กับ "ควาย" เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของชาวนานี้ ใช้ "ลายจมูก" ในการระบุตัวตนที่แตกต่าง จากการทุ่มเททำวิจัยโดยได้สัมผัสจริงกับชีวิตแห่งท้องทุ่ง

โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา รองศาสตราจารย์ ดร.วรพันธ์ คู่สกุลนิรันดร์ ได้ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างคุณูปการต่อวงการเกษตรไทย ด้วยการจำแนกเมล็ดพันธุ์ข้าวไทย จนสามารถคว้ารางวัลจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) 

มาในปี 2565 นี้ ผลงานนวัตกรรมของ รองศาสตราจารย์ดร.วรพันธ์ คู่สกุลนิรันดร์ สามารถสร้างชื่อคว้ารางวัลจากวช.ได้อีกครั้ง ในประเภทรางวัลผลงานวิจัย ระดับดี สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ จากการใช้เทคนิคMachine Learning เพื่อการจดจำและระบุอัตลักษณ์ของ"กระบือปลัก" ซึ่งเป็นประเภทของควายที่พบมากที่สุดในประเทศไทย โดยเรียกชื่อสายพันธุ์ตามอุปนิสัยที่ชอบอยู่ในปลักโคลนตามท้องไร่ท้องนา

จากในอดีตของประวัติศาสตร์ปศุสัตว์โลกที่ผ่านมาได้มีความพยายามด้วยวิธีการต่างๆ นานาที่จะจำแนก และระบุอัตลักษณ์ของปศุสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการดั้งเดิมที่ใช้เหล็กเผาไฟจนร้อนแล้วนาบลงบนตัวสัตว์ การเจาะหูติดเบอร์ มาจนถึงวิธีการฝังไมโครชิพ ซึ่งล้วนเป็นการทรมานสัตว์ ทำให้สัตว์ต้องได้รับความเจ็บปวด จากมากมาหาน้อย แม้วิธีการฝังไมโครชิพจะเป็นวิธีล่าสุดที่ทำให้สัตว์เจ็บน้อยที่สุด แต่กลับพบอุปสรรค ขาดความคล่องตัวจากการที่จะต้องอาศัยฮาร์ดแวร์ในการอ่านข้อมูล

ดึง Machine Learning จดจำความแตกต่าง

ด้วยเทคนิคการใช้ Machine Learning เพื่อการจดจำและระบุอัตลักษณ์ของ "กระบือปลัก" โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ "ลายจมูก" ที่ได้รับการค้นพบโดย รองศาสตราจารย์ ดร.วรพันธ์ คู่สกุลนิรันดร์ และคณะวิจัยนี้นอกจากจะไม่ทำให้สัตว์เจ็บแล้ว ยังสามารถพัฒนาต่อยอดโดยใช้เป็นแพลตฟอร์มในการจดจำและระบุอัตลักษณ์ของสัตว์เศรษฐกิจประเภทอื่นๆ ต่อไปได้อีกในอนาคต

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา รองศาสตราจารย์ ดร.วรพันธ์ คู่สกุลนิรันดร์ ยังได้เป็น 1 ใน 39 นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีผลงานวิจัยซึ่งได้รับการอ้างอิงเป็นร้อยละ 2 ของนักวิทยาศาสตร์โลก จากการจัดอันดับโดยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2564 (World's Top2% Scientists by Standford University 2021) ที่ผ่านมาอีกด้วย

เพื่อรองรับอนาคตแห่งการสร้างสรรค์สังคมและเศรษฐกิจไทยสู่ประเทศแห่งนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล ยังได้มีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนนักศึกษาและบุคลากรซึ่งเป็น"อัจฉริยะทาง IT" เช่นเดียวกับ รองศาสตราจารย์ ดร.วรพันธ์คู่สกุลนิรันดร์ ได้มี "AI Center" เพื่อการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุดสู่การบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติ ข้อที่ 12 ซึ่งว่าด้วยการบริโภคและการผลิตด้วยความรับผิดชอบ(Responsible Consumption and Production) ซึ่งรวมถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย

โดย "AI Center" จะเป็นศูนย์กลางซึ่งใช้พื้นที่ของอาคารคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เพื่อการรองรับเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยี  AI ขั้นสูงสู่การสร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนการผลิตผลงานวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกันในหลากหลายสาขา ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศได้ต่อไป

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

WHA Group ดึงไฮเออร์ลงทุน 10,000 ล้านบาท ตั้งฐานการผลิตในไทย

WHA Group ดึงไฮเออร์ลงทุน ปักหมุดฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศครบวงจรมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทในไทย ที่นิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด 3...

Responsive image

NITMX เปิดตัว Hack to the Max Digital Infrastructure ชวนคนรุ่นใหม่ร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลของไทย

NITMX เปิดตัวโครงการ "Hack to the Max: Digital Infrastructure" Hackathon ระดับชาติ เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจนวัตกรรมการเงินดิจิทัล เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเงินของไทยให้ก้าวไก...

Responsive image

SCB ‘Tap To Pay’ รับเงินผ่านบัตรเครดิต-เดบิต ง่ายแค่แตะผ่านแอปฯ ไม่ต้องพึ่งเครื่องรูดบัตร!

ธนาคารไทยพาณิชย์เปิดตัว ‘SCB Tap To Pay’ นวัตกรรมรับชำระเงินที่เปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้เป็นเครื่องรับชำระเงินได้ทันที ตอบรับกระแสสังคมไร้เงินสดที่กำลังมาแรง...