MIND AI เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่อาศัยหลักการหาเหตุผล (Reasoning) และนำตรรกะของผู้เชี่ยวชาญมาใช้ในการแก้ไขปัญหา
บริษัท มายด์ เอไอ เซาท์อีสเอเซีย จำกัด (MIND AI SEA) และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SASIN) ร่วมจัดสัมมนาหัวข้อ “New Wave of AI: New Era of Crowdsourcing Intelligence” ตอกย้ำความสำคัญของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย พร้อมเปิดตัวเทคโนโลยี AI ล่าสุดที่ใช้ตรรกะในการเข้าใจภาษาและแก้ไขปัญหาและสามารถสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เวทีนี้มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายวงการร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์และกรณีตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็น SASIN, ZTRUS, ShareInvestor, T-Ecosys และ Synesis One รวมถึงการนำเสนอจุดแข็งและจุดอ่อนของเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน เช่น รวดเร็วแต่ต้องอาศัยข้อมูลมหาศาลในการเทรน การให้คำตอบจากการคาดการณ์โดยหลักสถิติ ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบที่มาโดยใช้ตรรกะหรือข้อเท็จจริงได้ อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลในการเทรนที่ใส่เข้าไป รวมถึงขาดความสามารถในการเข้าใจความละเอียดอ่อนของภาษาและบริบทที่แตกต่าง
ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม CEO จากบริษัท ZTRUS ได้บรรยายในหัวข้อ “AI Landscape, What to Expect in 2023” โดย ดร.พณชิตได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า เทคโนโลยี Generative AI ในปัจจุบันอย่าง Midjourney, ChatGPT หรือ DALL-E ยังเป็นการทำงานผ่าน Hidden Layers หรือ Black box เพื่อการพยากรณ์คาดการณ์โดยใช้โมเดลทางสถิติสร้างผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบต่างๆ ดั้งนั้นผู้ใช้งานจำเป็นต้องมีความสามารถในการคัดกรอง ตรวจสอบ และแก้ไข จึงจะสามารถนำผลลัพธ์ที่ได้จาก Generative AI ไปประยุกต์ใช้กับองค์กรได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ดร.พณชิตยังได้กล่าวถึงข้อจำกัดและความสามารถที่แตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับ AI แต่หากเราเข้าใจและสามารถเรียนรู้ในการทำงานร่วมกัน (Human & BOT Collaboration) มนุษย์ก็จะสามารถนำ AI ไปประยุกต์ใช้ให้เป้าหมายบรรลุได้
ในงานนี้ MIND AI ได้แนะนำเทคโนโลยีที่ใช้ตรรกะของมนุษย์เพื่อทำความเข้าใจภาษาและแก้ไขปัญหา ซึ่งคุณรณพงศ์ คำนวณทิพย์ กรรมการผู้จัดการ มายด์ เอไอ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “เราได้ศึกษากระบวนการหาเหตุผล (Reasoning) ของมนุษย์เป็นเวลาหลายปี จนสามารถจดสิทธิบัตรโครงสร้างข้อมูลที่ใช้ตรรกะแบบเดียวกับสมองของมนุษย์มาใช้ในการประมวลผล ที่เรียกว่า Canonical ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างเป็นสามเหลี่ยมที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล อันเป็นหน่วยเล็กที่สุดในการใช้หาเหตุผล ด้วยโครงสร้างนี้เองที่ทำให้ MIND AI สามารถสร้างองค์ความรู้ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้โดยใช้หลักการและเหตุผลแบบเดียวกับที่มนุษย์ใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ
ด้วยวิธีการนี้ MIND AI จึงสามารถให้คำตอบที่ถูกต้อง แม่นยำ และมีความโปร่งใส (Transparency) ตรวจสอบหาเหตุผลที่มาที่ไปได้ เราจึงสามารถถ่ายทอดความรู้ (Transfer Knowledge) จากผู้เชี่ยวชาญมาสู่ MIND AI เพื่อทำการประมวลผลได้โดยตรง นอกจากนี้ MIND AI ยังมีความเข้าใจในบริบทของภาษา (Context Aware) ทำให้เราสามารถสร้าง Conversational AI ที่เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาไปมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเสมือนพูดคุยกับมนุษย์ และสามารถปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ (Adaptive Learning) ได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องใช้ตัวอย่างข้อมูลจำนวนมากในการเทรนโมเดลซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเป็นระบบที่โปร่งใสและปรับเปลี่ยนง่าย อีกทั้งยังใช้เวลาในการพัฒนาโซลูชั่นสั้นกว่า AI ทั่วไปหลายเท่าด้วยค่าใช้จ่ายที่ย่อมเยากว่า”
ในงานยังมีการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า Human Logic Intelligence (HLI) ที่ทำให้ MIND AI สามารถประมวลผลข้อมูลในแบบ machine-to-machine เพื่อช่วยในการทำ automation โดยใช้ภาษามนุษย์สั่งงานได้ง่ายๆ เช่น การแก้ไขปัญหาการสั่งสินค้ามาเกินหรือขาดสต็อก ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อหรือผู้บริหารสามารถสั่งให้ MIND AI ประมวลผลข้อมูลสินค้านับหมื่นรายการเพื่อทำการแนะนำว่าปัญหาของสินค้าแต่ละตัวเกิดจากอะไร พร้อมทั้งให้คำแนะนำและดำเนินการติดต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
“เรายินดีให้คำปรึกษาและคำแนะนำ เพื่อสร้างโซลูชั่นในการแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และยังยินดีให้ความรู้กับนักพัฒนา พันธมิตรธุรกิจ และสถาบันการศึกษา เพื่อช่วยกันพัฒนาและสร้างองค์ความรู้ โซลูชั่น และแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ ออกมาอีกด้วย
นอกจาก MIND AI จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การบริการลูกค้า การตลาดและการขาย งานจัดซื้อและบริหารสินค้าคงคลัง การสร้างตรรกะสำหรับการให้คำแนะนำ การแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ และการตัดสินใจ และอื่นๆ แล้ว MIND AI ยังสามารถช่วยคัดกรองข้อมูลเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญใช้ในการตัดสินใจ และทำงานร่วมกับเครื่องมือทาง AI อื่นๆ ได้ เช่น Computer Vision, Automatic Speech Recognition, Generative AI รวมทั้ง platform ที่ใช้ในองค์กร เช่น CRM, Telephony, IOT หรืออื่นๆ ได้อีกด้วย” คุณรณพงศ์กล่าวสรุป