NIA ชี้เทรนด์ใหม่ Work from Home มีแนวโน้มขยายตัวพร้อมเร่งมาตรการกระตุ้น Startup และ SMEs | Techsauce

NIA ชี้เทรนด์ใหม่ Work from Home มีแนวโน้มขยายตัวพร้อมเร่งมาตรการกระตุ้น Startup และ SMEs

NIA เผยหลังวิกฤตการระบาดโรคโควิด – 19 คลี่คลายทิศทางการทำงานที่บ้าน : Work from Home จะยังมีต่อเนื่องสักระยะ โดยเฉพาะในธุรกิจนวัตกรรมบริการ ธุรกิจนวัตกรรมการสื่อสาร ธุรกิจนวัตกรรมการเงิน รวมถึงหน่วยงานในกำกับราชการบางหน่วยงาน พร้อมชี้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ บางส่วนอาจกลับไปทำงานอยู่ในภูมิลำเนาหรือเมืองรองมากขึ้นโดยอาศัยสื่อสารผ่านดิจิทัล นอกจากนี้ ยังเผยอีกว่า ช่วงไตรมาสที่ 2 จนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ธุรกิจสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอีอาจมีการหยุดชะงักบ้างยกเว้นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด -19 ทั้งนี้ คาดว่าในระยะหลังจาก 6 เดือนเป็นต้นไป จะเริ่มเกิดปัญหาสภาพคล่อง NIA จึงได้เร่งหามาตรการด้านการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น 

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) กล่าวว่า มาตรการการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home ได้กลายเป็นปรากฏการณ์การทำงานรูปแบบใหม่ของหลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชน ซึ่งหลังจากที่สถานการณ์โควิด - 19 คลี่คลายลง อาจจะได้เห็นการเริ่มต้นทำงานที่บ้านของหลายๆบริษัทอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจนวัตกรรมบริการ ธุรกิจนวัตกรรมการสื่อสาร ซึ่งรวมถึงสื่อและผู้พัฒนาระบบ ธุรกิจนวัตกรรมการเงินและการตลาด (Fintech)  หรือแม้แต่หน่วยงานในกำกับราชการ ที่จะขยายโอกาสให้บุคลากรได้มีการทำงานจากนอกสำนักงานมากขึ้น ทังยังมีการปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่น รวมทั้งยังจะได้เห็นสตาร์ทอัพและนักพัฒนาเทคโนโลยีออกมานำเสนอแพลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อใช้ในการอำนวยความสะดวกกับการทำงานเพิ่มอย่างต่อเนื่อง 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการ Work From Home จะเป็นกระแสที่มาแรงและมีความน่าสนใจ แต่กระแสดังกล่าวอาจยังไม่ใช่ความปกติในรูปแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า New Normal สำหรับสังคมการทำงานของประเทศไทย เนื่องจากในบางธุรกิจก็ยังไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิต เพราะต้องใช้แรงงานคนขับเคลื่อน และบางอุตสาหกรรมยังจำเป็นต้องพึ่งพาฝีมือแรงงานเกือบ 100 % นอกจากนี้ แม้ว่าบางบริษัทจะเริ่มให้ความกับการทำงานที่บ้านมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติอาจยังไม่สามารถทำได้ในระยะยาว เนื่องจากยังมีกลุ่มคนที่คุ้นชินกับการทำงานในระบบออฟฟิศแบบดั้งเดิม การติดต่อธุรกิจที่ไม่สามารถกระทำผ่านอินเทอร์เน็ตได้ อีกทั้งยังคงต้องการพบปะเพื่อพูดคุยในทางสังคม รวมไปถึงการระดมสมองในระหว่างการทำงาน อย่างไรก็ดี NIA คาดการณ์ว่าประมาณช่วงหลังวันที่ 13-15 เมษายนเป็นต้นไป หากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะเริ่มลดลงต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ หลายบริษัทอาจจะเลือกเวิร์คฟอร์มโฮมถึงแค่ช่วงสิ้นเดือนเมษายน แต่หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นและไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ภายใน 3 เดือน คาดว่าจะต้องเวิร์คฟอร์มโฮมไปจนถึงสิ้นปี 2563 และภาครัฐรวมถึงประชาชนจะต้องเริ่มวางแผนการใช้ชีวิตแบบใหม่หลังจบเดือนมิถุนายนนี้

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อว่า สิ่งที่จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่หลังจากการระบาดของไวรัสโควิด -19 จบลงอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำงานจากบ้านเกิดกันมากขึ้น หรือเรียกว่า การอพยพทางเศรษฐกิจกลับบ้าน “Home-coming economic migration” คนจะเลือกทำงานในถิ่นฐานเมืองรองมากขึ้น และใช้การสื่อสารผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น เพราะการเกิดโรคระบาดสะท้อนให้เห็นว่าความแออัด และระบบความปลอดภัยในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกยังไม่มีมาตรการที่แน่ชัด โดยเฉพาะเกี่ยวกับโรคอุบัติใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ในภาวะวิกฤตินี้ทำให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ประชาชน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีในด้านสาธารณสุขขึ้นมากมาย รวมถึงนวัตกรรมอื่นที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยในช่วงนี้ เช่น นวัตกรรมการเว้นระยะทางสังคม นวัตกรรมด้านการศึกษา นวัตกรรมการใช้ความช่วยเหลือ ฯลฯ 

“เรื่องที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนคือ ช่วงไตรมาสที่ 2 จนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ธุรกิจสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอีอาจมีการหยุดชะงัก แต่ยังไม่ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจมากขึ้น ยกเว้นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด -19 ระบบโลจิสติกส์ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค การบริการด้านการเงิน และอาหาร ที่สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสในช่วงนี้ได้ ซึ่งนอกจาก NIA จะมีทุนสนับสนุนในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด -19 แล้ว ยังได้ริเริ่มสร้างแพลตฟอร์มเชื่อมโยงกลุ่มบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ตรงตามความต้องการของโรงพยาบาลและประชาชน เพื่อให้เกิดการนำนวัตกรรมไปใช้ได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ คาดว่าในระยะหลังจาก 6 เดือนเป็นต้นไป จะเริ่มเกิดปัญหาสภาพคล่อง NIA จึงได้เร่งหามาตรการด้านการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือด้านองค์ความรู้และการพัฒนาศักยภาพด้านนวัตกรรมองค์กรผ่านหลักสูตร และโปรแกรมต่างๆ มากมาย”  ดร.พันธุ์อาจ กล่าวสรุป 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Indorama ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อ 200 ล้านดอลลาร์จาก IFC เพื่อขับเคลื่อนโครงการด้านความยั่งยืน

Indorama หรือ อินโดรามา เวนเจอร์ส ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อก้อนใหม่ระยะเวลา 7 ปี รวมทั้งสิ้น 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก IFC เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของโครงการด้านความย...

Responsive image

VNG GreenNode ร่วมกับ NVIDIA เปิดตัว AI Data cluster มุ่งเน้นเป็นผู้นำด้าน AI Cloud ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

GreenNode ผู้เชี่ยวชาญบริการ AI Cloud และเป็นพันธมิตร NVIDIA Cloud Partner เปิดตัว large-scale AI Data cluster ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย อย่างเป็นทางการ โดย GreenNode ตั้งเป้าเป็นผู้นำบ...

Responsive image

Taiwan Excellence ชวนสร้างสรรค์ My Happy Place ด้วย Gen AI

Taiwan Excellence ตราสัญลักษณ์ที่มอบให้กับ “ผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมของไต้หวัน” ที่มีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรมล้ำสมัย เชิญชวนคนไทยมาสนุกกับการใช้เทคโนโลยี Generative AI (Gen AI) สร้างสรร...