ในร่างสนธิสัญญาที่รัฐบาลสหรัฐเผยแพร่และระบุว่า จีนพร้อมนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐมูลค่า 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ เช่น ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐ ยุติการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี และเปิดตลาดการเงินและสกุลเงิน
ขณะที่สหรัฐจะยกเลิกการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ที่เคยวางแผนว่าจะขึ้น 15% ในวันที่ 15 ธ.ค. พร้อมทั้งประกาศลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ ที่เคยเก็บในอัตรา 15% เหลือ 7.5% อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ ยังต้องผ่านการพิจารณาทางกฏหมายจากทั้ง 2 ประเทศก่อนที่จะมีการลงนามรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะเป็นเดือน ม.ค. ก่อนจะมีผลบังคับใช้ในเดือน ก.พ.
เราเชื่อว่าจะมีการลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกตามที่ได้ประกาศไว้ในเดือน ม.ค. ซึ่งจะเป็นบวกต่อตลาดการเงินในช่วงครึ่งปีแรก
ในภาพรวมเราเชื่อว่าสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐจะไม่รุนแรงขึ้นในปี 2020 เนื่องจากระดับปัจจุบันกระทบเศรษฐกิจทั้งสองประเทศแล้ว ซึ่งการที่ทั้งสองฝ่ายไม่ปรับขึ้นภาษีการค้าระหว่างกัน จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ซึ่งเมื่อรวมกับภาพของนโยบายการเงินโลกที่ยังคงผ่อนคลาย ประกอบกับภาคการผลิตโลกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากสินค้าคงคลังที่หมดลง และจะทำให้ทิศทางการลงทุนในครึ่งปีแรกจะยังเป็นกระแส Risk-on ต่อเนื่องเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อาจมีประเด็นต้องติดตามด้านการบังคับใช้ข้อตกลงการค้านี้ใน 3 ประเด็น ที่ยากในทางปฏิบัติ คือ (1) การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐของจีนที่จะเพิ่มจาก 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2017 เป็น 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2020 (2) การยุติการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี (ซึ่งทำได้ยากในทางปฏิบัติ) และ (3) กระบวนการแก้ไขข้อพิพาททางการค้า (โดยเฉพาะกระบวนการบังคับใช้ในทางปฏิบัติ)
ในส่วนข้อตกลงทางการค้าเฟสที่สอง สหรัฐต้องการให้รัฐบาลจีนลดการเข้าแทรกแซงรวมถึงอุดหนุนในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ (Industrial subsidies) ลดการถือครองรัฐวิสาหกิจ รวมถึงมีนโยบายป้องกันด้านการโจรกรรมไซเบอร์ ซึ่งนโยบายที่ดำเนินการยากและเป็นการล้วงล้ำอำนาจอธิปไตยในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของจีน จึงค่อนข้างยากที่จะตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว
1. รัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบันไม่พอใจในการบังคับใช้ข้อตกลง อาจยกเลิกและกลับมาขึ้นภาษีในสินค้านำเข้า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ตามเดิม (ความน่าจะเป็น 30%)
2. รัฐบาลสหรัฐพอใจในการบังคับใช้ข้อตกลงเฟสแรก รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะลดทอนอัตราภาษีที่เก็บในปัจจุบันลงไปจากเดิมบ้าง (โดยเป็นไปได้ที่จะลดอัตราภาษีในสินค้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ลงบ้าง) แต่การเจรจาเฟสสองไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ทำให้เป็นไปได้ที่จะเลื่อนการลงนามข้อตกลงหลังเดือน พ.ย. 2563 เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ลงนาม (ความน่าจะเป็น 50%)
3. รัฐบาลสหรัฐพอใจในการบังคับใช้ข้อตกลงเฟสแรก และการเจรจาเฟสสองสามารถบรรลุข้อตกลงได้ ก็น่าจะลงนามข้อตกลงเฟสสองก่อนเดือน พ.ย. 2563 รวมถึงมีการลดทอนอัตราภาษีลงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้ประธานาธิบดีทรัมพ์ได้คะแนนนิยมก่อนการเลือกตั้ง (ความน่าจะเป็น 20%)
1. เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมา สหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกัน โดยจีนพร้อมนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐมูลค่า 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงยอมควบคุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจอย่างโปร่งใส แลกกับการที่สหรัฐจะยกเลิกการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ที่เคยวางแผนว่าจะขึ้น 15% พร้อมทั้งประกาศลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ ที่เคยเก็บในอัตรา 15% เหลือ 7.5% ทั้งนี้ การลงนามรับรองอย่างเป็นทางการคาดว่าจะเป็นเดือน ม.ค. 2563 ก่อนจะมีผลบังคับใช้ในเดือน ก.พ.
2. เราเชื่อว่า จะมีการลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกตามที่ได้ประกาศไว้ในเดือน ม.ค. โดยในภาพรวมเราเชื่อว่าสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐจะไม่รุนแรงขึ้นในปี 2020 เนื่องจากการขึ้นภาษีในปัจจุบันกระทบเศรษฐกิจทั้งสองประเทศแล้ว ซึ่งการที่ทั้งสองฝ่ายไม่ปรับขึ้นภาษีการค้าระหว่างกัน จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาด และจะทำให้ทิศทางการลงทุนในครึ่งปีแรกจะยังเป็นกระแส Risk-on ต่อเนื่องเช่นกัน
3. อย่างไรก็ตาม อาจมีประเด็นต้องติดตามด้านการบังคับใช้ข้อตกลงการค้าเฟสแรกซึ่งค่อนข้างยากการบังคับใช้ใน 3 ประเด็น คือ (1) การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐของจีน (2) การยุติการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี และ (3) กระบวนการแก้ไขข้อพิพาททางการค้า ขณะที่ในเฟสที่สอง จะเป็นนโยบายที่ดำเนินการยากและเป็นการล้วงล้ำอำนาจอธิปไตยด้านเศรษฐกิจของจีน จึงค่อนข้างยากที่จะตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว
4. ในส่วนอายุของข้อตกลงเฟสแรกและความเป็นไปได้ที่จะมีเฟสสอง มีความเป็นไปได้ 3 กรณี คือ (1) รัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบันไม่พอใจในการบังคับใช้ข้อตกลง อาจยกเลิกและกลับมาขึ้นภาษีในสินค้านำเข้า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ตามเดิม (ความน่าจะเป็น 30%) (2) รัฐบาลสหรัฐพอใจในการบังคับใช้ข้อตกลงเฟสแรก รวมถึงเป็นไปได้ที่จะลดทอนอัตราภาษีที่เก็บในปัจจุบันลง แต่การเจรจาเฟสสองไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ จึงส่งต่อให้รัฐบาลชุดใหม่ลงนามแทน (ความน่าจะเป็น 50%) (3) รัฐบาลสหรัฐพอใจในการบังคับใช้ข้อตกลงเฟสแรก และการเจรจาเฟสสองสามารถบรรลุข้อตกลงได้ ก็น่าจะลงนามข้อตกลงเฟสสองก่อนเดือน พ.ย. 2563 รวมถึงมีการลดทอนอัตราภาษีลงอย่างมีนัยสำคัญ (ความน่าจะเป็น 20%)
บทความโดย : ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย (SCBS)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด