กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) โดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) แถลงข่าวการจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2017” พร้อมชูไฮไลท์ความอลังการของนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยแห่งโลกอนาคต พร้อมเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางการปรับเปลี่ยนประเทศในยุค Digital Transformation” โดย ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล มาร่วมแชร์มุมมอง แนวคิดในการยกระดับ ขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมรับกับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอันใกล้
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “วันนี้เราอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้แล้ว กับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เราเห็นกระแสโลก โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนไปเร็วมาก เมื่อโลกเปิดอย่างที่ว่าเราก็ต้องรีบปรับตัว ซึ่งการปรับตัวที่ว่านี้ ตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไม่ใช่แค่การเปลี่ยนทีละเล็กละน้อย แต่มันคือการเปลี่ยนแบบก้าวกระโดดอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อถึงวันนั้นประเทศไทยก็จะเปลี่ยน โดยส่วนตัวแล้วมองว่าปีนี้ และปีหน้าคือ Digital Transformation คือช่วงเปลี่ยนผ่านของประเทศ เมื่อเปลี่ยนแล้วสังคมไทยก็จะได้รับผลประโยชน์ทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยใช้ดิจิทัล ซึ่งผมขอให้นิยามด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ว่า “SIGMA” ที่มาจาก 5 ด้านสำคัญ เพื่อการปรับเปลี่ยนประเทศไทยสู่ความเป็นดิจิทัล คือ ผลรวมจากการบูรณาการจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน มาช่วยกัน โดย
งาน Digital Thailand Big Bang 2017 จึงเกิดขึ้นเพื่อจุดประกายการเปลี่ยนผ่านประเทศครั้งสำคัญ งานนี้เราตั้งใจทำ และเป็นครั้งแรกกับการจัดบนพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า 40,000 ตารางเมตร ซึ่งต้องขอขอบคุณทาง DEPA ที่จัดงานดี ๆ แบบนี้” ดร. พิเชฐ กล่าว พร้อมกับย้ำว่างานนี้คณะผู้จัดตั้งใจทำเพื่อทุกคนได้มีโอกาสเข้าชมและร่วมกิจกรรมที่หลากหลาย เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย จะได้ตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยีดิจิทัลจากทุกมุมโลก
ด้าน ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ กล่าวว่า “งานนี้เรียกได้ว่าจัดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่แค่รัฐบาลคิดจะจัดเพียงคนเดียว แต่เรามีกลุ่มพันธมิตรที่ยินดีที่จะมาร่วมคิด ร่วมเส้นทางในการปรับเปลี่ยนประเทศของเราเปลี่ยนเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นนี้เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในระบบ Ecosystem ก็คือการเปลี่ยนแปลงทั้งในระบบธุรกิจและการทำการค้า การดำรงชีวิต อย่างที่สองคือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากนวัตกรรม การรังสรรค์งานโดยกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย ที่พวกเขาจะได้มีโอกาสเห็นนวัตกรรมจากต่างประเทศที่เป็นระดับเวิลด์คลาสว่านี่คือ นวัตกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างที่สามคือส่วนที่เรียกว่าสมาร์ทซิตี้ การดำรงชีวิตในตัวเมืองก็จะเปลี่ยนไป โดยเราจะจำลองให้เห็นว่าสมาร์ทซิตี้ที่ได้ยินมามันคืออะไรกันแน่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลพยายามจะปรับให้ประเทศพร้อมรองรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ผู้คนคิดว่าช้า แต่จริง ๆ แล้วมันได้แทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะใช้บริการแท็กซี่ หรือระบบขนส่งมวลชนที่ไหนก็เป็นดิจิทัลกันหมดแล้ว หรือแม้แต่อุตสาหกรรมในบางโครงการก็ใช้ดิจิทัลเป็นตัวผลักดันในการออกแบบสินค้า หรือบริการกันแล้วเช่นกัน สุดท้ายเราจึงวางจุดยืนให้โลกรู้ ไม่ว่าจะเป็นสถานทูต นักลงทุนต่างชาติ หรือ Global Entrepreneur Network ที่มาเข้าร่วมได้เห็นภาพว่า IoT Institute หรือ Internet of Things มันคือจุดยืนของประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่อยากให้พลาด ทั้งนวัตกรรมระดับโลก ทั้งความพิเศษจากรางวัล Prime Minister Digital Award รวมไปถึงการสัมมนาอบรมที่เปิดให้คนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ จึงอยากเชิญชวนทุกท่าน ทุกสายอาชีพ มาร่วมงานนี้”
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่รวบรวมปรากฏการณ์แห่งโลกยุคใหม่ที่ครบ จบ ในงานเดียว แบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายในวัที่ 21-24 กันยายนนี้! ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ชาเลนเจอร์ 1-2 ลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้ที่ www.digitalthailandbigbang.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด