งานวิจัยของเคพีเอ็มจีด้านดัชนีชี้วัดความพร้อมใช้ยานยนต์ไร้คนขับของแต่ละประเทศและเขตปกครองชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับ
งานวิจัยของเคพีเอ็มจีด้านดัชนีชี้วัดความพร้อมใช้ยานยนต์ไร้คนขับ (KPMG Autonomous Vehicles Readiness Index – AVRI) ชี้ให้เห็นว่าแม้ว่ากระแสการประชาสัมพันธ์ยานยนต์ไร้คนขับจะลดน้อยลงแต่ความก้าวหน้ากลับมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องได้มุ่งเน้นความสำคัญไปในด้านกฎหมาย/กฎระเบียบในการรองรับ และการยอมรับทางสังคม ทั้งนี้จากในปัจจุบันที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ความต้องการด้านคมนาคมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค และการมุ่งเน้นด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมอาจเป็นปัจจัยเร่งให้ทั่วโลกเกิดการพัฒนา และใช้ยานยนต์ไร้คนขับอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
งานวิจัย 2020 KPMG AVRI ครั้งที่ 3 นี้ ได้มีการประเมินความก้าวหน้าของ 30 ประเทศและเขตปกครองในการปรับใช้และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งงานวิจัยได้พบว่าส่วนใหญ่มีความพร้อมเพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา
“เราเริ่มเห็นศักยภาพในการพลิกโฉมด้านต่างๆ จากเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ” ริชาร์ด เธรลฟอลล์ ประธานฝ่ายโครงสร้างพื้นฐาน เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว “การพัฒนายานยนต์ไร้คนขับให้เกิดความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมีความก้าวหน้ามากขึ้น ในอนาคตยานยนต์ไร้คนขับสามารถมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้าเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยกตัวอย่างเช่น การใช้มินิบัสไร้คนขับเพื่อการขนส่งสาธารณะซึ่งสามารถให้บริการได้ตามความต้องการของผู้โดยสาร (on-demand) เพื่อสนับสนุนต่อมาตรการ social distancing หรือการใช้ยานยนต์ไร้คนขับในการขนส่งสินค้าเพื่องดการติดต่อระหว่างผู้ส่งและผู้รับ (contactless delivery) เป็นต้น”
อย่างไรก็ตาม ความรวดเร็วในการนำยานยนต์ไร้คนขับมาใช้ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคนั้นขึ้นอยู่กับการพัฒนา และการปรับใช้ยานยนต์ไร้คนขับของแต่ละประเทศและเขตการปกครอง
ดัชนี AVRI มีการประเมินประเทศและเขตการปกครองด้วย 28 หัวข้อชี้วัด เพื่อดูความพร้อมและพัฒนาการในการใช้และสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับ หัวข้อชี้วัดเหล่านี้ถูกจัดอยู่ภายใต้ 4 ด้านหลัก คือ 1) นโยบายและกฎหมาย 2) เทคโนโลยีและนวัตกรรม 3) โครงสร้างพื้นฐาน 4) การยอมรับของผู้บริโภค
โดยรวมแล้ว ดัชนี 2020 AVRI ชี้ให้เห็นว่าประเทศและเขตปกครองส่วนใหญ่มีการพัฒนาความพร้อมในการใช้ยานยนต์ไร้คนขับ โดยที่ 17 ใน 25 ประเทศและเขตปกครองที่ได้ถูกวิจัยในครั้งที่แล้วได้คะแนนค่าชี้วัดเพิ่มขึ้นในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการพัฒนาด้านการทดลองใช้และสถานที่ทดลองยานยนต์ไร้คนขับ โดยพบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของทั้งหมด 30 ประเทศและเขตการปกครองในงานวิจัยครั้งนี้ ได้มีการกำหนดสถานที่ที่ได้รับอนุญาตในการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับโดยเฉพาะ
ในปีนี้สิงคโปร์เฉือนชนะเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นแชมป์สองสมัยในสองปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2562 ที่ผ่านมาสิงคโปร์ได้มีมาตรการหลายด้านในการขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไร้คนขับ โดยในปัจจุบันสิงคโปร์ได้มีการออกมาตรฐานระดับประเทศสำหรับการใช้รถยนต์ไร้คนขับ และยังอนุญาตให้มีการทดสอบการใช้ยานยนต์ไร้คนขับได้บนท้องถนนถึง 1 ใน 10 ของถนนสาธารณะทั้งหมดของประเทศ
ทั้งสิงคโปร์และเนเธอร์แลนด์ต่างเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (electric vehicles – EVs) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีนำร่องของยานยนต์ไร้คนขับ สิงคโปร์วางแผนที่จะเพิ่มปริมาณสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าจาก 1,600 สถานี เป็น 28,000 สถานีภายในปี 2573 ส่วนเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีสถานีชาร์ยานยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดต่อจำนวนประชากร นอกจากนี้นอร์เวย์ซึ่งเป็นผู้นำของโลกในด้านการใช้ EVs ได้มีการทดลองใช้ยานยนต์ไร้คนขับอย่างกว้างขวาง โดยมีการใช้รถบัสไร้คนขับในเส้นทางรถบัส 3 สายในกรุงออสโล
สหรัฐอเมริกามีจุดเด่นคือเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทด้านยานยนต์ไร้คนขับถึง 420 บริษัทด้วยกัน ซึ่งนับเป็น 44% ของบริษัทด้านยานยนต์ไร้คนขับ โดยครอบคลุมทั้งบริษัทเทคโนโลยี เช่น Waymo ของ Google และบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไร้คนขับ เช่น General Motors และ Ford เป็นต้น
เกาหลีใต้มีการพัฒนาด้านความพร้อมด้านยานยนต์ไร้คนขับมากที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยไต่อันดับขึ้นมา 6 ขั้นด้วยกัน ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้เกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 7 เกาหลีใต้ได้มีการประกาศยุทธศาสตร์ระดับประเทศด้านยานยนต์ไร้คนขับในเดือนตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนถึง 3 ใน 4 ในขณะเดียวกันไต้หวันเพิ่งได้รับการจัดอันดับเป็นครั้งแรก และอยู่ในอันดับที่ 13 ของดัชนีชี้วัดในครั้งนี้
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดในด้านยานยนต์ไร้คนขับ โดยมีถึง 8 ประเทศและเขตปกครองในภูมิภาคที่ได้รับการจัดอันดับในดัชนีการชี้วัดครั้งนี้ “เราได้เห็นหลายท้องที่เปิดรับเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับและได้รับการยอมรับมากขึ้นจากผู้กำหนดนโยบาย สังคม และนักวิจัย รวมไปถึงภาคธุรกิจ” ชาราด โซมานี่ ประธานฝ่ายโครงสร้างพื้นฐาน เคพีเอ็มจี เอเชียแปซิฟิก กล่าว “จีนและอินเดียได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนาในหลายๆ ด้านที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การใช้ยานยนต์ไร้คนขับและ EVs นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับรัฐบาลที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนเมืองให้เป็น Smart City โดยเทคโนโลยีเหล่านี้จะสามารถทำให้โครงสร้างพื้นฐานของเมืองมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนมากขึ้น”
ในขณะที่สิงคโปร์เองก็เป็นต้นแบบให้กับหลายๆ ประเทศ เขตปกครอง และเมือง ถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการส่งเสริมนวัตกรรมและการใช้ยานยนต์ไร้คนขับ ทั้งนี้ โอกาสที่แท้จริงขึ้นอยู่กับการใช้ยานยนต์ไร้คนขับและ EV ให้เป็นปัจจัยหลักในการพลิกโฉมด้านการขนส่งสาธารณะ และการขนส่งสินค้า
โซมานี่ ได้กล่าวต่อไว้ว่า “การพัฒนานโยบาย มาตรการในการจัดการข้อมูล รวมไปการถึงกำหนดนโยบายด้านการจดทะเบียนและการทำประกันเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในเขตเมือง และการขนส่งสาธารณะเป็นหน้าที่ของส่วนปกครองในท้องที่ เราจึงเห็นส่วนปกครองท้องที่ของเมืองใหญ่ๆ เช่นปักกิ่ง มีการสนับสนุนมาตรการการใช้รถยนต์ไร้คนขับมากขึ้น”
“ถึงแม้ว่าประเทศไทยยังไม่มีการทดลองใช้รถยนต์ไร้คนขับในเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน แต่พบว่าได้มีโครงการริเริ่มจากภาครัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัยในหลายโครงการด้วยกัน” ธิดารัตน์ ฉิมหลวง ประธานฝ่ายดูแลลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม เคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าว “เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงาน กสทช. ร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช และภาคเอกชน ดำเนินโครงการนำร่องรถอัจฉริยะไร้คนขับเพื่อยกระดับการแพทย์ของประเทศไทยสู่ยุค 5G เพื่อขนส่งยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยไร้การติดต่อระหว่างผู้ส่งและผู้รับ ซึ่งถือว่าเป็นอีกก้าวสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไร้คนขับของไทย รวมไปถึงอุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุขในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความพร้อมต่อการใช้ยานยนต์ไร้คนขับของประเทศไทย เราควรพัฒนา และดำเนินการใน 4 ด้านหลักด้วยกัน ได้แก่ นโยบายและกฎหมาย เทคโนโลยีและนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างการยอมรับจากผู้บริโภค”
ดัชนีชี้วัด 2020 AVRI ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่มีการสำรวจโครงการริเริ่มเกี่ยวกับยานยนต์ไร้คนขับในระดับเขตเทศบาลเมือง โดยมีการวิเคราะห์โครงการการพัฒนาใน 5 เมือง ได้แก่ ปักกิ่ง ดีทรอยต์ เฮลซิงกิ พิตต์สเบิร์ก และโซล
“โครงการที่ผลักดันการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับที่น่าสนใจหลายโครงการเป็นโครงการระดับท้องถิ่น นำโดยเทศบาลเมือง หรือระดับรัฐ” เธรลฟอลล์กล่าว “ขนส่งสาธารณะ ซึ่งรวมถึงแท็กซี่และรถบัสส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของหน่วยปกครองท้องถิ่นมากกว่ารัฐบาลกลาง เพราะฉะนั้นการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานในท้องที่ในบางครั้งก็สำคัญกว่านโยบายของภาครัฐเท่านั้น”
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย AVRI และอนาคตของยานยนต์ไร้คนขับได้ที่ home.kpmg/AVRI
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด