
ท่ามกลางวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมระดับโลกที่เดินทางมาถึงจุด 'ภาวะโลกเดือด' (Global Boiling) และแรงกดดันทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของ 'ฉลากสิ่งแวดล้อม' ในฐานะเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่จำเป็นและเป็นยุทธศาสตร์แห่งการอยู่รอดของภาคธุรกิจไทย ผ่านงาน 'TEI-Ecolabelling Forum 2025: Ecolabel for the Future ฉลากสิ่งแวดล้อมกับการสร้างมูลค่าใหม่ทางธุรกิจ' ซึ่งจัดขึ้น เพื่อชี้ให้เห็นว่าความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือใบอนุญาตทางการค้าในเวทีโลก

ในการบรรยายพิเศษ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้ฉายภาพความจริงอันน่ากังวลว่า โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ซ้อนวิกฤต (Polycrisis) 3 ประการที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ได้แก่
แม้ว่าประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% ของโลก แต่กลับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเปราะบางต่อผลกระทบสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (เคยถูกจัดอยู่อันดับ 9) ดร.วิจารย์ ได้ยกตัวอย่างกรณี อ.แม่สาย จ.เชียงราย ที่เผชิญทั้งภัยแล้งรุนแรงและน้ำท่วมหนักในปีเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงภัยคุกคามที่มาถึงตัวแล้ว
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ในฐานะประธานเปิดงานสัมมนา ได้ชี้ให้เห็นว่าแรงกดดันจากนานาชาติได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าโลกอย่างสิ้นเชิง การปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญของการอยู่รอดทางเศรษฐกิจ มาตรการที่เข้มข้นจากสหภาพยุโรป เช่น CBAM (มาตรการปรับราคาคาร์บอนฯ) และ EUDR (กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า) รวมถึง การตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Traceability) ได้กลายเป็นกำแพงการค้าที่สำคัญ
ในบริบทนี้ 'ฉลากสิ่งแวดล้อม' จึงไม่ใช่แค่สัญลักษณ์เพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่จำเป็นสำหรับภาคธุรกิจไทยในการแข่งขัน และเป็นกลไกหลักที่ช่วยปลดล็อกโอกาสในตลาด 'การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Public Procurement)' ที่มีมูลค่ามหาศาล ทั้งยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
'การเลือกใช้สินค้าฉลากเขียวคือจุดหนึ่งที่เราช่วยสังคมได้ ขณะเดียวกันในตลาดโลก ฉลากสิ่งแวดล้อมคือกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดสีเขียว' ดร.วิจารย์ กล่าว พร้อมเสริมว่าฉลากเขียวของไทยยังเชื่อมโยงกับเครือข่ายฉลากสิ่งแวดล้อมโลก (Global Ecolabelling Network - GEN) ซึ่งล่าสุดได้ลงนามข้อตกลงกับสิงคโปร์ ศรีลังกา และอุซเบกิสถาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ผลิตไทยสามารถขอการรับรองในประเทศสมาชิกได้ง่ายขึ้น

ด้าน ดร.ฉัตรตรี ภูรัต ผู้อำนวยการฝ่ายฉลากเขียวและฉลากสิ่งแวดล้อม TEI ได้เปิดเผยว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอย่างมากคือ วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง เนื่องจากเป็นที่ต้องการในตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเครื่องใช้ในสำนักงาน เครื่องใช้ในบ้าน และภาคบริการ เช่น โรงแรม บริการทำความสะอาด และบริการซักรีด ที่หันมาให้ความสำคัญกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์ชาติอย่างเร่งด่วน โดยรัฐบาลได้แสดงเจตนารมณ์ขยับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้นเป็นปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และเริ่มขับเคลื่อนกลไกภายในประเทศเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง เช่น Thailand Taxonomy เพื่อเป็นมาตรฐานกลางสำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, สิทธิประโยชน์จาก BOI สำหรับธุรกิจที่ยั่งยืน และการบรรจุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กิจกรรมภายในงานสัมมนาได้สะท้อนถึงความตื่นตัวของภาคธุรกิจ โดยมีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ 'ทิศทางฉลากสิ่งแวดล้อมของโลก โอกาสทางธุรกิจใหม่ และการจัดซื้อสีเขียว' และพิธีมอบเกียรติบัตรเพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ประกอบการ 70 บริษัท ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฉลากสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น ฉลากเขียว, Circular Mark และ EPD ในปี 2567-2568
บทสรุปจากงานสัมมนาและมุมมองของผู้บริหารสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยชี้ชัดไปในทิศทางเดียวกันว่า วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมได้เดินทางมาถึงจุดที่ 'รอไม่ได้แล้ว' การลงมือทำในวันนี้ไม่ใช่แค่การปกป้องโลก แต่คือการปกป้องอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ ฉลากสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นมาตรฐานและกุญแจสำคัญสำหรับภาคธุรกิจในการสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นเครื่องพิสูจน์ความรับผิดชอบ เพื่อนำพาประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตและก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคต่อไป
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด