Startup ไทยคิดค้น Technology ยุคใหม่ สำหรับการทำงานแบบ New Normal | Techsauce

Startup ไทยคิดค้น Technology ยุคใหม่ สำหรับการทำงานแบบ New Normal

ในช่วงเวลาที่ประชาชนทุกคนต้องใช้ชีวิตรูปแบบใหม่แบบ New Normal ให้ห่างไกลจากไวรัสโควิด-19 ธุรกิจต่างๆก็ยังต้องดำเนินต่อไปเพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้บริษัท Startup หลายๆแห่งในโลกได้เริ่มคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เพื่อให้กิจกรรมของธุรกิจต่างๆไม่ถูกกระทบกระเทือนจากมาตรการป้องกันโควิด-19 เช่น การ lockdown นโยบาย Work from home การเว้นระยะห่างทางสังคม การกักตัวอยู่บ้าน  14 วัน หรือ การลดการสัมผัสสิ่งของต่างๆ 

Startup จากทั่วทุกมุมโลกที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สอดคล้องมาตรการโควิด-19 และโลก New Normal ยุคปัจจุบันต่างได้รับอนิสงค์จากผลดังกล่าว และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ในประเทศไทยเอง นำโดย บริษัท สวิฟท์ ไดนามิคส์ จำกัด ซึ่งเป็น Deep Tech Startup ด้าน Internet of Thing (IoT)  และเพิ่งได้รับการระดมทุน Pre-Series A จากบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้พัฒนาแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ IoT แห่งแรกของประเทศโดยใช้ชื่อว่า Sentenance (www.sentenance.com) เพื่อให้สอดคล้องกับยุค New Normal และโลกในอนาคตที่ทั้งคนและอุปกรณ์รวมถึงเครื่องจักรสามารถสื่อสารกันผ่านระบบอินเตอร์เนตแบบไร้พรมแดน ทำให้ผู้คนสามารถรักษาระยะห่างทางสังคม ทำงานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่บ้าน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในเวลาเดียวกัน 

Sentenance เป็นระบบ IoT ที่มีทั้งอุปกรณ์IoTและSoftware ซึ่งพัฒนาและผลิตในประเทศ เชื่อมต่อกับแบบไร้สาย (Wireless) ได้ทั้งแบบ WiFi, Lorawan, 4G, 5G และเทคโนโลยีใหม่อย่าง NB-IoT โดยสามารถมอนิเตอร์และควบคุม การเปิดปิดไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องจักร หรือระบบต่างๆ ในโรงงาน อาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ได้ทันที

ระบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ก็เป็นหนึ่ง Solution ที่ทาง Sentenance สามารถทำได้ โดยครอบคลุมถึง 4 องค์ประกอบของเมืองอัจฉริยะซึ่งสอดคล้องนโยบายของภาครัฐและเอกชน อาทิเช่น ระบบสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) และอาคารอัจฉริยะ (Smart Building)

ทั้งนี้ Sentenance ยังมีจุดเด่นกว่าระบบIoTอื่นๆ โดยผู้ใช้งานสามารถออกระบบ IoT ได้เองเพื่อให้เหมาะสมในแต่ละธุรกิจ และอุปกรณ์อัจฉริยะของ Sentenance หนึ่งตัวยังสามารถเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์หรือตัวควบคุมได้หลายจุด เพื่อสะดวกต่อการใช้งานลดค่าใช้จ่ายในการจัดการ 

ทางบริษัท สวิฟท์ ไดนามิคส์ มองว่าโลกในยุคอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อุปกรณ์หรือเครื่องจักรต่างๆสามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกันเองได้ และยังสามารถสื่อสารมายังมนุษย์ได้ผ่านระบบ IoT ทั้งนี้บริษัท สวิฟท์ ไดนามิคส์ มีแผนที่จะขยายความร่วมมือไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน มาเลเซียและสิงค์โปร์ ภายในปีนี้

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

KBank ผนึก J.P. Morgan เปิดโปรเจกต์ Carina ใช้บล็อกเชน ลดเวลาทำธุรกรรมจาก 72 ชั่วโมงเหลือ 5 นาที

Kbank ร่วมกับ J.P. Morgan Chase Bank เปิดตัวโปรเจคต์นวัตกรรมคารินา (Carina) ลดระยะเวลาการทำธุรกรรม จากที่ใช้เวลา 72 ชั่วโมงเหลือเพียงแค่ 5 นาที...

Responsive image

Tokenization Summit 2024 by Token X พบกูรูระดับโลกเจาะลึกวิสัยทัศน์การปฏิวัติ Digital Asset

เวทีสัมมนาสุดยิ่งใหญ่ “Tokenization Summit 2024” ภายใต้หัวข้อ Unveiling the Next Big Thing ขนทัพผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ มาให้ความรู้ แ...

Responsive image

TikTok จับมือ ลาลีกา สานต่อความร่วมมือ ยกระดับคอมมูนิตี้คนรักฟุตบอล

TikTok จับมือ ร่วมมือ LALIGA (ลาลีกา) ลีกฟุตบอลของประเทศสเปน เดินหน้าความร่วมมือต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากความสำเร็จในการร่วมมือกันครั้งแรกในประเทศไทย ที่นำไปสู่การขยายความร่วมมื...