การจัดเก็บภาษีสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ความแน่นอนที่ไม่แน่นอน | Techsauce

การจัดเก็บภาษีสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ความแน่นอนที่ไม่แน่นอน

หลายท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวของ Benjamin Franklin ที่ว่า nothing is certain except death and taxes วลีนี้ทำให้นักลงทุนหลายท่านพอเข้าใจได้ว่า ที่ใดมี economic wealth เกิดขึ้น ที่นั่นย่อมมีภาระภาษีไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง 

ด้วยเทคโนโลยีบล๊อกเชนและความคิดอันล้ำสมัย ทำให้ปัจจุบันสินทรัพย์ดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทและเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในบทความนี้จะขอพูดถึงการจัดเก็บภาษีสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใครหลาย ๆ คนกำลังให้ความสนใจและอยากที่จะลงทุน เพราะแม้จะมีความผันผวนและความเสี่ยงสูง แต่ก็อาจให้ผลตอบแทนการลงทุนในอัตราที่สูงด้วยเช่นเดียวกัน

ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ หรือออสเตรเลีย ต่างก็มีการออกและปรับปรุงกฎหมายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อันจะทำให้แนวทางการจัดเก็บภาษีมีความชัดเจนให้ได้มากที่สุด 

สำหรับประเทศไทยนั้นมีการออกกฎหมายภาษีอากรเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2561 แต่ในทางปฏิบัติยังมี "ความไม่แน่นอน" ทางภาษีอากรในหลาย ๆ ประเด็น เดี๋ยวเรามาค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน

"สินทรัพย์ดิจิทัล" ตามกฎหมายไทย คืออะไร ? สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไปแบ่งได้ 3 รูปแบบ กล่าวคือ

  • คริปโทเคอร์เรนซี (Crypto Currency) เช่น Bitcoin Ethereum cETH Cardano CADA XRP มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ สินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ หรือสิทธิอื่นใด หากผู้ใช้ยอมรับ นอกจากนี้ นักลงทุนสามารถซื้อขายกันในตลาดรองและอาจมีผลกำไรหรือผลขาดทุนการกรณีดังกล่าว

  • โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) เช่น Bitkub Coin ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงสิทธิในการได้รับสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่น ๆ เป็นการเฉพาะเจาะจง โดยนักลงทุนอาจได้รับหรือเข้าถึงสินค้าหรือบริการดังกล่าว หรือมีผลกำไรหรือผลขาดทุนจากการซื้อขายกันในตลาดรอง

  • โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) เช่น Sirihub Token ถูกสร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใด ๆ โดยนักลงทุนอาจได้ผลตอบแทนจากโครงการ หรือมีผลกำไรหรือผลขาดทุนจากการซื้อขายกันในตลาดรอง

นอกจากนี้ เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ตามกฎหมายไทยแล้วสินทรัพย์ดิจิทัลจะไม่ใช่ "เงินตรา" ดังนั้น นำเอาสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน คือ คริปโทเคอร์เรนซี มาใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการ จึงถือเป็นการชำระหนี้ด้วยของอย่างอื่น หากคู่สัญญายอมรับก็ถือเป็นการชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ที่สำคัญคือการนำเอาสินทรัพย์ดิจิทัลมาชำระหนี้ดังกล่าวถือการแลกเปลี่ยน (barter trade) ระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินค้าและบริการ 

ภาระภาษีอากรตามกฎหมายไทยสำหรับสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นอย่างไรกันบ้าง ? คำถามหลัก ๆ เลย คือ 

อะไรคือรายได้ของผู้ลงทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ?

รายได้จากสินทรัพย์ดิจิทัลอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ 

  • กำไร (Capital Gain) จากการขายโทเคนดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซีในตลาดรอง ซึ่งรวมถึงกรณีที่นำโทเคนดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซีมาชำระค่าสินค้าหรือบริการ (ซึ่งถือเป็นเป็น barter trade) แล้วส่งผลให้ผู้โอนมีผลกำไรจากการโอน เช่น นาย ก. ใช้ 1 Bitcoin คิดเป็นมูลค่า 1.62 ล้านบาท ชำระค่าซื้อ Lamborghini แต่ นาย ก. มีต้นทุนการได้มา 1 Bitcoin ที่ 1.2 ล้านบาท กรณีนี้ นาย ก. จะมีกำไร 0.42 ล้านบาท และ

  • ผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองโทเคนดิจิทัล เช่น นาย ก. ลงทุน Sirihub Token ไว้และได้รับผลตอบแทนรายได้มาสจากผู้ออกโทเคนดิจิทัล จำนวน 80,000 บาท เช่นนี้ถือว่า นาย ก. มีเงินได้จากการถือครองโทเคนดิจิทัล ซึ่งจะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงเงินปันผลจากการถือครองหุ้น หรือเงินได้ดอกเบี้ยจากการถือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ นั่นเอง

นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาและที่เป็นบริษัทเสียภาษีกันอย่างไร แตกต่างกันหรือไม่ ? 

หากนักลงทุนมีเงินได้กำไร (Capital Gain) จากการขายโทเคนดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซี และผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองโทเคนดิจิทัล นักลงทุนบุคคลธรรมดาจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 ของรายได้ดังกล่าว ซึ่งหลาย ๆ อาจเข้าใจว่า นักลงทุนบุคคลธรรมดาสามารถเสียภาษีเท่ากับภาษีที่ถูกหักไว้นั้นเป็น final tax แบบเดียวกับเงินปันผลหรือดอกเบี้ยพันธบัตรหรือหุ้นกู้ได้ แต่แท้จริงแล้วนักลงทุนบุคคลธรรมดายังจะต้องนำรายได้ดังกล่าวไปรวมยื่นแบบตอนสิ้นปีและเสียภาษีตามอัตราก้าวหน้า จากตัวอย่างข้างต้น นาย ก. ได้รับผลตอบแทนรายได้มาสจากการถือครอง Sirihub Token จำนวน 80,000 บาท ผู้ออกโทเคนดิจิทัลจะมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ร้อยละ 15 คิดเป็น 12,000 บาท เมื่อสิ้นปี นาย ก. ต้องนำผลตอบแทนรายได้มาสไม่รวมคำนวณกับรายได้อย่างอื่นที่ นาย ก. มี และคำนวณเสียภาษีตามอัตราก้าวหน้าต่อไป โดยสามารถนำภาษีหัก ณ ที่จ่ายมาใช้เป็นเครดิตได้ ดังนั้น นักลงทุนบุคคลธรรมดาอาจต้องพิจารณาถึงภาระภาษีที่เกิดขึ้นจากผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในส่วนนี้ประกอบด้วย ส่วนนักลงทุนบริษัทไทยแม้จะไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่นักลงทุนบริษัทไทยยังคงต้องนำรายได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ตามปกติ 

ผลขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถนำมาหักภาษีได้หรือไม่ ? 

ประเด็นนี้ถือเป็นความไม่เท่าเทียมกันระหว่างนักลงทุนบุคคลธรรมดาและนักลงทุนบริษัทไทย เพราะบุคคลธรรมดาไม่สามารถนำผลขาดทุนมาหักเป็นรายจ่ายในทางภาษีได้ แต่บริษัทไทยสามารถนำผลขาดทุนนั้นมาหักเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ นอกจากนี้ หากยังมีผลขาดทุนคงเหลืออยู่ บริษัทไทยยังสามารถยกผลขาดทุนสะสมไปใช้หักเป็นรายได้ได้อีกไม่เกิน 5 ปี ปัญหานี้เป็นสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไขเพื่อให้ภาระภาษีมีสอดคล้องกับความเป็นจริงและมีความเท่าเทียมกันระหว่างบุคคลธรรมดาและบริษัทไทย

นักลงทุนที่ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดรองต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ? ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงภาระภาษีมูลค่าเพิ่มของนักลงทุนกันก่อน สำหรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลในส่วนอื่น ๆ เช่น ผู้ออกโทเคนดิจิทัล จะขอกล่าวในส่วนของปัญหาและความไม่แน่นอนทางภาษีอากรอันเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยหลักการพื้นฐานนั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บจากการขายสินค้าหรือการให้บริการในราชอาณาจักรที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ 

(ก)    เป็นการขายสินค้าหรือการให้บริการโดยผู้ประกอบการ กล่าวคือ ต้องมีการขายสินค้าหรือให้บริการอย่างเป็นปกติธุระในทางการค้าหรือวิชาชีพ พูดง่าย ๆ คือ นักลงทุนต้องมีการ trade สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างสินค้าโดยทำเป็นปกติทางการค้า เช่น ซื้อซื้อขายขายคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลในตลาดรองเป็นปกติ ดังนั้น หากผู้ลงทุนเพียงแต่ซื้อและถือครองทรัพย์ดิจิทัลไว้ยาว ๆ เช่น นาย ก. ลงทุนใน Sirihub Token ไว้และถือครองไปจนกระทั่งจบโครงการ แบบนี้ นาย ก. ย่อมไม่เข้าลักษณะของผู้ประกอบการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และ

(ข)    มีรายรับ (ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ) จากการขายสินค้าหรือให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น แม้จะมีการ trade สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างสินค้าเป็นปกติธุระในทางการค้าหรือวิชาชีพก็ตาม แต่หากนักลงทุนมีรายรับจากการ trade ดังกล่าว (รวมถึงรายรับจากการขายสินค้าหรือบริการอื่น ๆ ด้วย) ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ต่อปี แล้ว เช่นนี้นักลงทุนก็ไม่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกัน

ปัญหาและความไม่แน่นอนทางภาษีอากรอันเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล

1) การภาษีหัก ณ ที่จ่าย กรณีกำไร (Capital Gain) จากการขายโทเคนดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซีในตลาดรอง

โดยหลักการแล้ว กฎหมายกำหนดให้ "ผู้จ่ายเงินได้" ที่เป็นกำไร (Capital Gain) จากการขายโทเคนดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซีให้แก่ผู้รับที่เป็น "บุคคลธรรมดา" มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 ของผลกำไรดังกล่าว คำว่า "ผู้จ่ายเงินได้" หมายถึง บุคคลที่เป็นคู่สัญญาที่เข้าทำธุรกรรมกับผู้มีรายได้โดยตรง บุคคลอื่นที่มิใช่คู่สัญญาซึ่งแม้จะเป็นผู้จ่ายในความเป็นจริง ก็มิใช่ผู้จ่ายเงินได้ที่จะมีหน้าที่ในการหักภาษี ณ ที่จ่ายแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. ให้กู้ยืมเงินแก่บริษัท ข. จำนวน 1 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 เช่นนี้ เมื่อบริษัท ข. ชำระคืนต้นเงิน จำนวน 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย 50,000 บาท บริษัท ข. ในฐานะผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ในอัตราร้อยละ 15 ของดอกเบี้ย คิดเป็น 7,500 บาท และนำส่งภาษีที่หักไว้ให้แก่กรมสรรพากรต่อไป ทั้งนี้ หากบริษัท ข. แจ้งให้บริษัท ค. ลูกหนี้ของตนส่งเงิน จำนวน 550,000 บาท ให้แก่นาย ก. เช่นนี้ก็มิได้ทำให้บริษัท ค. กลายมาเป็นผู้มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่อย่างใด ดังนั้น หากตีความโดยเคร่งครัดแล้ว กรณีของการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดรองนั้น "ผู้จ่ายเงินได้" ควรจะหมายถึงผู้ซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลต่อจากนักลงทุนนั่นเอง ในการนี้ Exchange Platform ทำหน้าที่เพียงเป็นตัวกลางในการอำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้อและผู้ขายเข้าทำธุรกรรมระหว่างกันเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่จ่ายเงินได้หรือค่าตอบแทนให้แก่นักลงทุน จึงไม่ควรถูกถือว่าเป็นผู้จ่ายเงินได้ 

อย่างไรก็ตาม หากตีความอย่างกว้าง Exchange Platform อาจถูกเหมารวมว่าเป็นผู้จ่ายเงินได้ให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน กล่าวคือ แม้ว่า Exchange Platform จะไม่ได้เป็นคู่สัญญาในการซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลกับนักลงทุนก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ Exchange Platform ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของนักลงทุนในการส่งมอบสินทรัพย์ หรือรับจ่ายเงินในการทำธุรกรรมดังกล่าวผ่านระบบแพลตฟอร์มของตน กรณีนี้อาจเทียบเคียงได้กับกรณีที่บริษัทต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยและมีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องหักภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 15 แม้ว่าบริษัทตัวแทนค้าหลักทรัพย์จะเพียงทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกในการซื้อขายหลักทรัพย์และมิได้เข้าไปเป็นคู่สัญญาในการซื้อขายหลักทรัพย์กับนักลงทุนก็ตาม แต่จากแนวทางการตีความของกรมสรรพากรซึ่งวินิจฉัยว่า บริษัทตัวแทนค้าหลักทรัพย์ (Broker) ของผู้ขายซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขายหลักทรัพย์มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงอาจมีความเป็นไปได้ในอนาคตที่กรมสรรพากรจะออกหลักเกณฑ์กำหนดให้ทั้งผู้ซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล และ Exchange Platform ถือเป็นผู้จ่ายเงินได้ และเป็นผู้มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในกรณีนี้ร่วมกัน 

2) ภาษีมูลค่าเพิ่มกับผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน

การออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนซึ่งผู้ออกจะต้องเสนอขายโทเคนดิจิทัลผ่านกระบวนการ Initial Coin Offering (ICO) ถือเป็นการระดมทุนรูปแบบหนึ่งที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วยดำเนินการ และใช้ smart contract บนเทคโนโลยีบล็อกเชนในการกำหนดและบังคับสิทธิที่นักลงทุนจะได้รับตามโครงการร่วมลงทุน 

โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนถือเป็นทรัพย์สินไม่มีรูปร่างอย่างหนึ่งที่สามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างกันได้ ประกอบกับสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ถือเป็นเงินตราและไม่ถือเป็นหลักทรัพย์ตามกฎหมายของประเทศไทยที่ใช้บังคับในปัจจุบัน จึงทำให้อาจถูกตีความว่าการออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนถือเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินไม่มีรูปร่างและเข้าข่ายที่ถือว่าเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ทั้งนี้ ท่านผู้อ่านก็ต้องอย่าลืมว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มมีหลักการในการจัดเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิตและการจำหน่ายสินค้าและบริการ และภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ได้จัดเก็บจากการนำเงินไปหาประโยชน์โดยการลงทุนหรือการประกอบธุรกิจที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือการประกอบกิจการเฉพาะอย่างที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแต่ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดให้เป็นกิจการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

คราวนี้เรามาพิจารณากันถึงเนื้อหาสาระของการระดมทุนโดยการออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนกันบ้าง ในมุมมองของนักลงทุน นักลงทุนเพียงแต่ประสงค์ที่จะเข้าร่วมลงทุนในโครงการที่ถูกนำเสนอไว้ในหนังสือชี้ชวนเพื่อให้ได้รับสิทธิในการรับผลตอบแทนจากการลงทุน โดยได้รับโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนเป็นหลักฐานแสดงสิทธิในการเข้าร่วมลงทุนที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลเช่นเดียวกับการลงทุนเข้าซื้อหุ้นหรือหุ้นกู้จากบริษัทผู้ออก ซึ่งมิใช่การซื้อใบหุ้นหรือใบหุ้นกู้อย่างสินค้าแต่อย่างใด ดังนั้น นักลงทุนจึงมิได้รับหรือบริโภค (consumption) สินค้าหรือบริการใด ๆ ตอบแทนจากผู้ออกโทเคนดิจิทัลอันเนื่องมาจากการเข้าร่วมลงทุนในโครงการ 

ในส่วนของผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนนั้น ผู้ออกจะมิได้รับเงินระดมทุนจากนักลงทุนมาโดยเด็ดขาด หากแต่ผู้ออกมีหนี้สินและภาระผูกพันที่คล้ายคลึงกับการกู้ยืมเงินหรือการออกหุ้นกู้ (debt like) กล่าวคือ ต้องนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปลงทุนตามหนังสือชี้ชวนและต้องนำผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนรวมทั้งเงินที่นักลงทุนได้ลงทุนไว้มาจ่ายคืนให้แก่นักลงทุนต่อไป ผู้ออกไม่มีการขายสินค้าหรือให้บริการใด ๆ ให้แก่นักลงทุนในทางทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ในจุดนี้อาจมีความแตกต่างจากกรณีของการออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ กล่าวคือ ผู้ออกอาจมีการขายสินค้าหรือให้บริการให้แก่นักลงทุนเพื่อตอบแทนเงินที่ผู้ออกได้รับจากนักลงทุนมาโดยเด็ดขาด โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์จึงเปรียบเสมือนการออกบัตรหรือคูปองที่แสดงสิทธิที่ผู้ซื้อจะได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการในอนาคต และในส่วนของคริปโทเคอร์เรนซีอาจถูกโตแย้งได้ว่า เป็นกรณีที่ผู้ซื้อมีการบริโภค (consumption) ตัวคริปโทเคอร์เรนซีอย่างสินค้า ส่วนผู้ขายหรือผู้โอนก็มีการขายคริปโทเคอร์เรนซีอย่างสินค้าเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงหลักการของการลงทุนในโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนจำนวนมากได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการโดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน รวมทั้ง อาจได้รับคืนเงินลงทุน ทำให้น่าคิดว่า การลงทุนในโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ อันเป็นเงินได้พึงประเมินที่มีลักษณะ (nature) เช่นเดียวกับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่น ๆ ตามมาตรา 40(4) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งการลงทุนในรูปแบบทุน หรือ หนี้ หรือ financial products อย่างหนึ่งอย่างใด ล้วนแต่อยู่ในขอบข่ายการจัดเก็บเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ทั้งนี้ ตามแต่ประเภทและการประกอบกิจการของผู้ลงทุนในแต่ละกรณี

จากกรณีข้างต้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนไม่ได้การกระทำการขายสินค้าหรือให้บริการใด ๆ แก่นักลงทุนในลักษณะเป็นผู้ประกอบการ และไม่ควรต้องนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนซึ่งเป็นหนี้สินอย่างหนึ่งมาเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อย่างใด

3) ปัญหาในการจัดเก็บภาษีบนสินทรัพย์ดิจิทัล 

แม้ว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีบนสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีผลใช้บังคับมากว่าสามปีแล้วก็ตาม จะเห็นได้ว่าในทางปฏิบัติกรมสรรพากรยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีจากนักลงทุนตามกฎหมายดังกล่าวได้จริง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ปัญหาอยู่ที่ตรงไหน ? คำถามเหล่านี้คงอยู่ในใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในเรื่องนี้ 

จากการพิเคราะห์ การจัดเก็บภาษีบนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยนั้นมีอุปสรรคสำคัญอยู่หลายประการ ซึ่งในบทความนี้จะขอนำเอาปัญหาหลัก 3 ประการมาอธิบายให้เห็นภาพดังนี้

3.1) การคำนวณต้นทุนสินทรัพย์ : สำหรับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากผลกำไรที่ได้จากการขาย หรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าใครจะถือว่าเป็นผู้จ่ายเงินได้ และเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายก็ตาม อุปสรรคที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ยังไม่มีการดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่ายในปัจจุบันคือ ปัญหาเรื่องการคำนวณต้นทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่นำมาขาย หรือแลกเปลี่ยนเพื่อนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณกำไรจากการขายและการคำนวณภาษี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ในการดำเนินการเลย อย่างที่ทราบกันดีว่าในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น โดยปกตินักลงทุนจะทำการซื้อขายไปมาหลายครั้ง ประกอบกับมีการโอนสินทรัพย์ข้ามไปมาได้โดยตรงระหว่าง Wallet ของนักลงทุนด้วยกันเอง หรือการโอนสินทรัพย์ข้ามไปมาระหว่าง Exchange Platform ทั้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในประเทศและในต่างประเทศ ด้วยเหตุดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการหาต้นทุนที่แท้จริงของสินทรัพย์ดิจิทัลที่นักลงทุนแต่ละรายนำมาขาย หรือแลกเปลี่ยน เพื่อนำมาคำนวณกำไรจากการขาย และคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย นั้นทำได้ยากมาก ไม่ว่าผู้จ่ายเงินได้จะเป็นผู้ซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลต่อจากนักลงทุน หรือจะเป็น Exchange Platform ที่มีระบบจัดเก็บข้อมูลการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มของตนเองอยู่แล้วก็ตาม เมื่อไม่สามารถคำนวณจำนวนภาษีที่ต้องหักได้ ก็ไม่มีผู้จ่ายเงินได้รายใดสามารถปฏิบัติตามกฎหมายในข้อนี้ได้ 

3.2) การตรวจสอบและการเข้าถึงข้อมูลของกรมสรรพากรอาจทำได้ไม่ง่ายนักและอาจต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง : ปัจจุบันนักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะคริปโทเคอร์เรนซี หลายช่องทาง และด้วยการลงทุนดังกล่าวปราศจากข้อจำกัด ทำให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนผ่าน Platform ของบริษัทต่างประเทศได้ และการโอนเปลี่ยนมือ รวมถึงการชำระราคาเป็นไปได้อย่างรวดเร็วไร้พรมแดน นอกจากนี้ เนื่องจากในทางปฏิบัติไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ โดยเฉพาะเงินได้ที่เป็นกำไร (Capital Gain) จากการขายโทเคนดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซีในตลาดรอง ประกอบกับนักลงทุนโดยเฉพาะบุคคลธรรมดา ก็ไม่ได้สมัครใจยื่นแบบแสดงกำไรจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมารวมคำนวณเงินได้สุทธิหรือกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วยตนเอง กรณีดังกล่าวส่งผลให้การที่กรมสรรพากรจะเข้าถึงแหล่งข้อมูลหรือตรวจสอบเพื่อให้ทราบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นได้โดยไม่ง่ายและอาจต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่สูง กรณีดังกล่าวอาจเป็นเหตุให้กรมสรรพากรยังเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายหรือเอาผิดกับผู้จ่ายเงินได้และนักลงทุนที่จงใจหลีกเลี่ยงกฎหมายในขณะนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งในคำตอบสำคัญว่า ทำไมเราจึงยังไม่เห็นมีตัวอย่างในการจัดเก็บภาษี หรือมีนักลงทุนรายใดที่ได้เสียภาษีจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในทางปฏิบัติจริง ๆ เลยซักราย ทั้ง ๆ ที่กฎหมายก็ใช้บังคับมาหลายปีแล้ว

3.3) ความไม่ชัดเจนในแนวทางการจัดเก็บภาษี : ต้องยอมรับว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเป็นเรื่องใหม่ และมีความสลับซับซ้อนในการทำธุรกรรมค่อนข้างมาก หากรัฐต้องการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมประเภทนี้อย่างจริงจัง ก็จำเป็นที่จะต้องชี้แจงแนวทางในการจัดเก็บภาษีในประเด็นต่าง ๆ แก่นักลงทุนให้ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น กรณีไหนบ้างที่ต้องจัดเก็บ หรือไม่ต้องจัดเก็บภาษี การนำคริปโทเคอร์เรนซีประเภทหนึ่งไปแลกเปลี่ยนกับคริปโทเคอร์เรนซีอีกประเภทหนึ่ง ต้องเสียภาษีเงินได้หรือไม่ การขายคริปโทเคอรร์เรนซีที่ได้มาจากการขุด (Mining) จะต้องเสียภาษีเงินได้อย่างไร ต้นทุนในการขุดจะสามารถนำมาหักรายจ่ายในการคำนวณเงินได้สุทธิหรือกำไรสุทธิได้หรือไม่ หรือการขาย หรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างนักลงทุนจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ อย่างไร รวมถึงวิธีการคำนวณภาษีในกรณีต่าง ๆ เช่น การคำนวณต้นทุนของสินทรัพย์ดิจิทัลต้องใช้ทฤษฎีใด FIFO LIFO หรือทฤษฎีทางบัญชีอื่น ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นับแต่กฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยออกมาใช้บังคับ กรมสรรพากรไทยยังไม่เคยออกไกด์ไลน์หรือคำอธิบายใด ๆ เพื่อสร้างความชัดเจนในประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้เลย ทำให้แนวทางในการจัดเก็บภาษีตามกฎหมายไทยยังมีความคลุมเครืออยู่มาก ด้วยเหตุนี้ แม้ว่านักลงทุนบางรายสมัครใจที่จะเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม หากตัวนักลงทุนเองยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าการทำธุรกรรมของตนเองอยู่ในข่ายที่จะต้องเสียภาษีหรือไม่ อย่างไร เช่นนี้แล้ว การปฏิบัติตามกฎหมายให้ถูกต้องคงเป็นไปได้ยาก และความยุ่งยากเหล่านี้อาจอีกหนึ่งสาเหตุให้นักลงทุนหลายรายถอดใจ 

จากที่ได้อธิบายมาทั้งหมดนี้ คงพอทราบในเบื้องต้นกันแล้วว่าประเทศไทยมีหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างไร และคงพอได้คำตอบกันไปพอสมควรว่าทำไมการจัดเก็บภาษีตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวจึงทำได้ยากในความเป็นจริง ซึ่งปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของภาครัฐและกรมสรรพากรซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการบังคับใช้กฎหมายและการจัดเก็บภาษี ที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไข คลายข้อสงสัย และสร้างความชัดเจนในประเด็นต่าง ๆ ว่าจะทำอย่างไรให้การจัดเก็บภาษีในส่วนนี้สามารถดำเนินการได้จริงอย่างเป็นรูปธรรมสมกับเจตนารมณ์ในการออกกฎหมาย สร้างความเท่าเทียมกันกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น โดยไม่ก่อให้เกิดภาระแก่นักลงทุนมากจนเกินไป ยกตัวอย่างเช่น 

  • แก้ไขกฎหมายให้ภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นภาษีสุดท้าย (final tax) ของนักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาโดยไม่จำเป็นต้องนำกำไรไปรวมคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้เมื่อสิ้นปีอีก 

  • การกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เพื่อให้เกิดความแน่นอนและเท่าเทียมในการจัดเก็บภาษี 

  • การออกกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติให้เกิดความชัดเจนในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะการออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่ไม่ควรต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อย่างใด

ทั้งนี้ หากแนวทางในการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขจนมีความชัดเจน และสามารถใช้บังคับได้อย่างเท่าเทียมและเป็นรูปธรรม นอกจากประโยชน์จากเม็ดเงินภาษีที่รัฐจะได้รับแล้ว ยังจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้สินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงในอนาคต และเชื่อได้ว่าจะเป็นผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยอย่างแน่นอน

===================================

บทความโดย 

คุณนพพร เจริญกิจราษฎร์ ทนายความหุ้นส่วน

คุณโสมิกา ภคภาสน์วิวัฒน์ ทนายความหุ้นส่วน

บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอด 4 บทเรียนธุรกิจ Taylor Swift ชื่อศิลปินที่มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท

Taylor Swift ไม่ใช่แค่ของชื่อศิลปินอีกแล้ว กลายเป็น Branding ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ความสำเร็จของ Taylor Swift ก็มีส่วนที่หยิบมาใช้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจได้เช่นเดียวกัน...

Responsive image

“อยากได้อะไร ก็แค่พูดตรงๆ” เคล็ดลับความสำเร็จจาก Sam Altman

Sam Altman CEO ของ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT แนะนำ วิธีช่วยให้คุณได้ในสิ่งต้องการ และทำได้ง่ายๆ...

Responsive image

มรดกแนวคิด Steve Jobs ที่ส่งต่อถึง Tim Cook เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของ Apple

Tim Cook ยกหนึ่งคำสอนล้ำค่าในการทำงานจาก Steve Job ที่ทำให้ Apple เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลก ในด้านการส่งเสริมนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กร นั่นก็คือ ‘ทุกคนสามารถสร้าง...