Digital Currency ดังเช่นเหรียญ Libra Coin เป็นหนึ่งในกระแสที่ครองพื้นที่สื่อมาอย่างหนักหน่วง ซึ่งมักปรากฎอีกชื่อตีคู่มาด้วยอยู่เสมอคือ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง Bitkub และ Group CEO บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเคยเป็นอดีตวัยรุ่นสายซ่าที่กลับใจเข้าสู่เส้นทางนักศึกษาผู้มุ่งมั่น ที่ต้องพลิกบทเรียนจากความผิดพลาดให้ก้าวข้ามอุปสรรค จนสามารถคว้าปริญญาโทจาก University of Oxford กระทั่งถูกมนตราของ Bitcoin ที่ดึงดูดให้เลือกสร้างกิจการ Startup ที่ได้รับเงินลงทุนระดับ seed fund สูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย แต่ก็ต้องผ่านแรงเสียดทานจากกระแสโจมตีและภาพลักษณ์ด้านลบของธุรกิจมาไม่น้อยกว่าจะแกร่งขึ้นจนถึงวันนี้
ผมเป็นเด็กซ่ามากและชอบทะเลาะกันเพื่อนตลอด จนพ่อแม่ทนไม่ไหวต้องส่งไปอยู่โรงเรียนประจำระดับมัธยมต้นที่ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งตอนนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย ได้แค่ Hi Yes No ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเดิมเล่นแต่กีฬา มีกิจวัตรประจำวันคือตื่นมาวิ่ง 10 กิโลเมตรแล้วตอนบ่ายสามก็ไปเรียนฟุตบอล ทำข้อสอบแค่พอให้ผ่านไปได้เรื่อย ๆ
พอจะจบมัธยมปลายต้องตัดสินใจแล้วว่าจะกลับมาเรียนที่ประเทศไทยหรือไปต่อมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ ซึ่งเพราะผมชอบฟุตบอลก็เลยเลือกไปเรียนที่อังกฤษต่อดีกว่า โดยเลือกสมัครสาขาเศรษฐศาสตร์เพราะเป็นวิชาที่ผมรู้สึกสนุกและสามารถทำได้ดีตอนเรียนมัธยมปลาย
ณ ตอนนั้นการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อปริญญาตรีที่อังกฤษสามารถเลือกได้ 5 มหาวิทยาลัย จึงต้องตัดสินใจให้ดีเพราะถ้าเลือกสูงเกินไปแล้วโดนปฏิเสธทั้งหมดก็อาจจะไม่มีที่ให้เรียน
สุดท้ายก็โชคดีตรงที่มหาวิทยาลัย University of Manchester ที่อังกฤษรับผมเข้าไปเรียน และสัญญากับตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปเรียนว่าผมต้องตั้งใจเรียนและให้สามารถเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยระดับ Top ให้ได้ในระดับปริญญาโท ไม่ว่าจะเป็น University of Oxford University of Cambridge หรือ LSE (The London School of Economics) ให้ได้
ผมเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่แล้วเริ่มเข้าห้องสมุดเป็นครั้งแรกในชีวิตแล้วตั้งใจเรียนขึ้นมาจนสามารถเรียนจนได้ผลการเรียนที่ดีแม้ไม่ถึงกับเป็นระดับสูงสุดของ class สุดท้ายก็เรียนจบปริญญาตรีมาโดยเป็นที่หนึ่งของทั้งมหาวิทยาลัย จนได้รางวัลพร้อมกับทุนการศึกษาด้วย
“ถ้าพยายามจริง ๆ ก็ทำได้ ทั้งที่ background ของเราสู้คนอื่นไม่ได้เลย”
ตอนแรกผมยื่นใบสมัครปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ ทั้งที่ Oxford Cambridge และ LSE แล้วก็ได้ตอบรับเข้าเรียนจากทั้ง 3 มหาวิทยาลัย จึงกลับด้านจากที่ต้องเคยเป็นคนถูกเลือก กลายเป็นคนเลือกแทน
“ที่เลือกเรียน Oxford เพราะเป็น dream school และผมมีคุณอภิสิทธิ์ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เป็น idol ของผมด้วย”
ไม่เหมือนที่คาดไว้เลย เพราะด้วยความที่ตอนปริญญาตรีเราจบมาด้วยผลการเรียนอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยก็ถือว่ามั่นใจระดับหนึ่ง แล้วผมก็ยิ่งพยายามมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าพยามยามมากที่สุดในชีวิตแล้ว แต่กลับไม่เคยทำแบบฝึกหัดได้เลย และต่อให้หนึ่งเดือนสุดท้ายก็ยังทำข้อสอบย้อนหลังไม่ได้เลย
เพราะนอกจากเรียนยากแล้วเพื่อนร่วมชั้นแต่ละคนที่เข้ามาต่างก็เป็นเบอร์หนึ่งมาหมดทุกคน แทบไม่มีใครเคยเป็นเบอร์สองมาเลยทั้งชีวิต เป็นพวกเด็กอัจฉริยะ เด็กโอลิมปิกวิชาการ หรือเป็นคนที่เรียนจบปริญญาโทจากที่อื่นมาก่อนแล้วก็มาเรียนต่ออีก ผมจึงกลายคนที่เด็กสุดในห้องท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้น 50 คน
ด้วยระบบการวัดผลแบบ curving system ทำให้พวกเราต่่างแข่งขันกันทุกคน แม้ว่าตัวเราจะทำผลการเรียนได้ดีแล้ว แต่ถ้าคนอื่นทำได้ดีกว่า เราก็อาจจะตกได้ จึงเป็นสภาพแวดล้อมการเรียนที่ทรมานมาก ไม่มีใครช่วยเหลือกันเลย เพราะถ้าช่วยเมื่อไรก็เท่ากับคุณทำร้ายตัวเองทันที
โดยเฉพาะวิชาเลขที่เรียนหนักมาก แต่ผมไม่ได้มีพื้นฐานที่แข็งแรงมาก่อนตั้งแต่เด็ก เพิ่งมาขยันเรียนแค่ 3 ปี ทำให้ผมต้องย้อนไปศึกษาเพิ่มเติมหนักมาก จึงเป็นช่วง 2 ปีของการเรียนที่ในแต่ละวันต้องอ่านหนังสืออยู่ 12 ถึง 14 ชั่วโมงทุกวันแบบไม่พัก เรียกว่า no life เลย จึงเป็นการเรียน Oxford ที่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลาย ๆ คนเคยคิด
จากที่เคยคิดว่าเราเป็นอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัย น่าพอไปได้ไม่น่ายากมาก แต่ปราฏว่ายิ่ง painful กว่าเดิม
ช่วงใกล้วันสอบผมเครียดมากและกลัวห้องสอบมาก แม้แต่จบมาแล้วก็ยังไม่อยากจะเข้าใกล้ตึกนี้อีก เพราะพอเปิดข้อสอบมาแล้วผมเขียนอะไรไม่ได้เลย และโกรธมาก แม้จะอ่านหนังสือมาหนักแทบตายตั้งหลายสิบชั่วโมงต่อวัน
จนผมต้องขีดคำถามทิ้งแล้วตั้งคำถามขึ้นมาใหม่เองแล้วเขียนคำตอบบรรยายเองจนยาว 4-5 เล่ม เพื่อต้องการแสดงให้อาจารย์เห็นว่าเราอ่านหนังสือมาจริง ๆ ซึ่งอย่างไรก็ดีกว่าส่งกระดาษเปล่า จนสุดท้ายก็ทำให้ผ่านมาได้ อาจจะเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ก็คงทำข้อสอบไม่ได้เหมือนกัน
ผมก็เหมือนเด็กที่เรียนจบเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เรียนจบมาแล้วก็อยากทำด้าน IB (Investment Banking หรือวาณิชธนกิจ) และอยากหาประสบการณ์ใหม่ ๆ จึงเลือกไปทำงาน Financial Analyst กับสถาบันการเงินจาก San Francisco อย่าง Evotech Capital ที่สาขา Shanghai เพราะตอนนั้นเศรษฐกิจของประเทศจีนกำลังบูม
เมื่อปี 2556 ระหว่างที่ผมทำงาน IB ก็ได้ไปเจอ financial asset ตัวหนึ่งที่อยู่ดี ๆ ราคาก็สูงขึ้นไปถึง 1,000 เหรียญสหรัฐ จึงเริ่มสนใจว่าคืออะไร แล้วไปอ่านเพิ่มเติมจนเจอ Blog เรื่อง Why Bitcoin Matters ของ Mark Anderson ที่มักจะมองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก่อนคนทั่วไปกว่า 10 ปี จึงทำให้รู้ว่า Bitcoin จะมาเปลี่ยนแปลงโลกอย่างไร แม้ในเวลานั้นคนยังคิดว่าเป็นแชร์ลูกโซ่อยู่เลย
กระทั่งเริ่มทำงานไปสักพักก็เริ่มรู้สึกตัวเราไม่ค่อยเหมาะกับการทำงานภายในองค์กร จึงตัดสินใจลาออก แต่สุดท้ายก็ยังสมัครงานใหม่ เพื่อลองให้โอกาสตัวเองอีกครั้งเพื่อไปเป็น Financial Consultant ของ Marquis Advisory Groupที่ San Francisco
ระหว่างเริ่มงานใหม่ก็กลับมาเมืองไทย ก็ไปถามเพื่อน ๆ ว่ามีเวลา 1 เดือนทำอะไรได้บ้าง แล้วมีเพื่อนแนะนำให้มาประเทศฟิลิปปินส์ เพราะธุรกิจ Startup กำลังบูม ผมจึงตัดสินใจบินไปเลยไม่อยากเสียเวลา 1 เดือนให้เปล่าประโยชน์ แล้วก็ได้เรียนรู้ว่า Startup คืออะไร พร้อมกับทำโปรเจคสั้น ๆ อันหนึ่งเรียกว่า World Startup Report โดยผมทำหน้าที่วิจัยว่า Startup ในแต่ละประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แล้วพบว่าไม่มีรายใดที่ทำเกี่ยวกับ Bitcoin เลย นอกจากนี้ยังได้เจอเพื่อนคนหนึ่งที่มาจาก Silicon Valley ซึ่งมีความเชื่อเหมือนกันว่า Bitcoin จะมาเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของโลก
สุดท้ายผมก็บินกลับไปทำงานที่ San Francisco แต่แค่ 1 อาทิตย์ก็รู้สึกทนไม่ไหว ทำงานด้านวิจัยที่ต้องอ่านมาก ๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย Oxford มาพอแล้ว ก็เลยโทรมาบอกพ่อกับแม่ว่าตัดสินใจมาเปิดกิจการ Startup ของตัวเองดีกว่า และส่ง mail ไปชวนเพื่อนที่เคยคุยกันถูกคอมาทำ Bitcoin ด้วยกัน
ผมโชคดีมากที่คุณพ่อคุณแม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของลูก ให้อิสระในการเลือก
ผมตัดสินใจบินไปฟิลิปปินส์เพื่อเปิด FinTech Startup อันแรกชื่อ coins.ph ที่ให้คนใช้บริการ e-wallet และโอนเงินระหว่างประเทศด้วย Bitcoin ของเรา ตอนนั้นก็ลำบากมาก เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าคืออะไร แล้วก็มีโดน hack บ้าง ถูกกล่าวหาว่าฟอกเงินบ้าง แต่ตลาดและราคาก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ
จนปี 2557 ผมก็มาเปิดกิจการที่เมืองไทยอีกอันชื่อ coins.co.th พอทำได้สัก 2 เดือน ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ก็ออกจดหมายว่า Bitcoin อาจจะเป็นแชร์ลูกโซ่อย่าไปยุ่งเกี่ยว และอาจจะมีมูลค่าเหลือศูนย์ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
ตอนนั้นผม painful มาก โดยเฉพาะคุณพ่อที่เครียดมาก อุตส่าห์ส่งลูกไปเรียนถึง Oxford ขณะที่ลูกคนอื่นต่างก็ทำงานกับบริษัทดี ๆ กันได้เงินเดือนหลายแสน ขณะที่ลูกเรานั่งทำอะไรไม่รู้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่ชั้นลอยคนเดียว แล้วอยู่ดี ๆ ก็มาได้ยินว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่หรือฟอกเงิน ทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะสร้างความเข้าใจกับครอบครัว พร้อมกับพิสูจน์ตัวเองและตัวบริษัทให้เกิดความเชื่อมั่นกับแม้แต่ลูกน้อง 2 คนแรก ซึ่งเป็นญาติกัน แต่ธุรกิจก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้น
พอผ่านมาได้สักพักก็ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เรียกตรวจว่า Bitcoin ของเราเป็นแหล่งฟอกเงินหรือไม่ ผมก็ต้องไปให้ข้อมูลว่าเรามีระบบตรวจสอบที่มาของเงิน ต่อมาแบงก์ชาติก็เรียกไปคุยอีกว่า Digital Currency อันนี้จะเป็นเงินสกุลอะไร ถ้าเป็นเงินตราต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแบงก์ชาติด้วยเราก็ต้องอธิบายไป หลังจากนั้นพอทีมงานเริ่มโตก็มีสรรพกรสุ่มตรวจสอบเรื่องความถูกต้องการเสียภาษี
กว่ากิจการจะเติบโตได้ต้องผ่านอุปสรรคมามาก
คือวันที่ 1 เมษายน 2560 ที่ประเทศญี่ปุ่นประกาศว่า Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงทำให้ให้ Bitcoin โตร้อนแรงมาก จนปี 2561 กลุ่ม coins ซึ่งเป็นบริษัทแรกของเราก็ถูก GOJEK ซื้อกิจการไป
หลังจากนั้น ได้ตั้งทีม Private Chane ไปร่วมแข่งขัน FinTech Challenge ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยทีมของเราสร้างตลาดหลักทรัพย์ยุคใหม่ขึ้นมาที่สามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้โดยไม่ต้องมีโบรกเกอร์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีพร้อมแล้วเพียงแต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับเท่านั้น ซึ่งหลังจากชนะที่หนึ่งจากการแข่งขันนั้นแล้ว ก็เริ่มทำงานกับก.ล.ต.มาเรื่อย ๆ จนเกิดการพัฒนา framework ของกฎหมายใหม่ขึ้น สุดท้ายจึงนำไปสู่ Digital Asset Exchange
ปี 2561 ผมก็ตั้งบริษัท บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ขึ้น ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่ม blockchain ที่ใหญ่มากสุดในประเทศ ด้วยทีมงานเกือบ 100 คน ที่ครอบคลุม 3 ธุรกิจหลักคือ อันแรกคือบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ bitkub.com ซึ่งเป็นบริษัทแห่งแรก ๆ ของโลกเลยที่ได้รับใบอนุญาตจากก.ล.ต. ให้บริการซื้อขาย Cryptocurrency อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกบริษัทคือ Blockchain Solution เป็นธุรกิจให้คำปรึกษาด้าน blockchain ให้แก่องค์กรทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ และบริษัทที่สามเป็นผู้ให้บริการคัดกรองโครงการและระบบเสนอขายโทเคน (ICO Portal) ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างขอใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.
ตอนนี้ผมมองว่าการใช้ blockchain เติบโตไปนอกเหนือการโอนเงินแล้ว ซึ่งผมคิดว่า open financial web กำลังจะมา จึงอยากสร้างให้ bitkub.com เป็นตลาดหลักทรัพย์ 2.0 ที่สามารถซื้อขายทรัพย์สินทุกชนิดได้เหมือนหุ้น
ตอนนี้ผมยังไม่สำเร็จและยังต้องเรียนรู้เรื่อย ๆ แต่มองว่าผู้ประกอบการควรมี 3 คุณสมบัติหลัก อันแรกคือต้องรับมือกับอุปสรรคต่าง ๆ ได้ สองคือต้องเชื่อและยึดมั่นใน vision ของตัวเองอย่าให้คนที่ไม่ได้รู้จริงมาทำให้ไข้วเขว และสามคือต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้มีเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลาและเร็วมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จุดที่สำคัญมากคือ หากเป็น vision ที่มีหลายคนเห็นตรงกับคุณแล้วห้ามทำเด็ดขาด เช่น ถ้าหลายคนเห็นว่าขายชานมไข่มุกแล้วดีห้ามทำ หรือขายของทางออนไลน์แล้วดีก็ไม่ควรทำ แต่ต้องหาอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้แต่คุณรู้ และเป็นข้อเท็จจริง
ดังนั้นส่วนหนึ่งที่ผมทำธุรกิจ Bitcoin แล้วสำเร็จได้ เพราะผมเชื่อ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้แล้วเข้าใจผิดว่าคือแชร์ลูกโซ่ จึงทำให้ไม่มีคู่แข่งเลย แต่หากทุกคนเห็นตรงกันว่า Bitcoin จะมาเปลี่ยนแปลงโลก ธุรกิจผมก็คงไม่เกิด
ถ้าในวันนั้นที่แบงก์ชาติมาเตือนว่า Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่ แล้วผมเปลี่ยนความเชื่อตัวเอง หรือแม้แต่ที่ก.ล.ต.บอกว่าเป็นการฟอกเงินแล้วผมปิดบริษัท ก็คงไม่ได้มาถึงวันนี้
เรื่อง Unicorn เป็นความฝันของ Startup ทุกบริษัท เราเองก็มีตั้งเป้าหมายไว้ แต่ไม่ว่าจะได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยผมก็สร้าง impact รู้ว่าได้สร้าง footprint สำหรับการ Digital Currency ในเมืองไทยแน่นอน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด