นับว่าเป็นเทรนด์ของโลกที่กำลังมาแรงมาก ๆ สำหรับความเคลื่อนไหวในวงการการเงิน โดยเฉพาะ Cryptocurrency ที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับและมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่นจะเป็นจากการที่ทั้ง PayPal และ Visa ต่างออกมาประกาศถึงการรองรับการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin และ Crypto อีกทั้งบริษัทหลักทรัพย์ และการลงทุนทั่วโลกต่างก็หันมาศึกษา และเปิดกว้างให้นักลงทุน ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกันมากขึ้น และมีเทคโนโลนด้านการเงินเกิดขึ้นหลากหลายไม่ว่าจะเป็นทั้ง Digital Asset และ DeFi มากขึ้นด้วย
บทความนี้เราจะพาไปพูดคุยกับ Changpeng Zhao CEO และผู้ก่อตั้ง Binance แพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน Cryptocurrency อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งได้มาแชร์เรื่องราวของการก่อตั้ง Binance ที่กว่าจะได้รับการยอมรับและขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้นั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง รวมถึงมุมมองของอนาคตคตโลกการเงิน หัวข้อ Digital Asset Journey Trend ในงาน Techsauce Global Summit 2020 : Special Edition ที่ผ่านมา
Changpeng Zhao ได้เล่าประวัติของเขาให้เราฟังว่า ตนได้เกิดและเติบโตในประเทศจีน ก่อนที่จะย้ายไปในแคนาดาและเรียนต่อจนจบการศึกษา จากนั้นก็โยกย้ายไปหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว นิวยอร์ก เซี่ยงไฮ้ จนกระทั่งในปี 2013 เขาได้ก่อตั้งธุรกิจ Startup กับเพื่อน และสินทรัพย์ดิจิทัลที่รู้จักเป็นครั้งแรก คือ Bitcoin และได้หลงใหลมันมากจนถึงขนาดที่ว่าไปเข้าประชุมเกี่ยวกับ Bitcoin ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งในขณะนั้นวงการ Crypto ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายมากนัก และเพื่อนๆของเขาก็ไม่ได้สนใจมันเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความหลงใหลมันทำให้เขาตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ คือ ออกจากงาน ขายบ้าน และนำเงินมาซื้อ Bitcoin แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากในการที่คน ๆ หนึ่งตัดสินใจแบบนี้
แต่สำหรับ Changpeng Zhao เขาได้ให้มุมมองกับเราว่า เดิมเขามีพื้นฐานด้านเทคโนโลยีมาก่อนอยู่แล้ว และมีประสบการณ์ช่ำชองในวงการการเงินอยู่พอสมควร อีกทั้งพยายามศึกษา Bitcoin อย่างจริงจัง เลยมองว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ไตร่ตรองมาดี และส่วนตัวมีทักษะในการจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นด้วยนั่นเอง
เป็นที่ทราบกันดีว่า Binance เริ่มเปิดตัวในปี 2017 และให้มีการระดมทุนแบบ ICO นั่นก็คือ บริษัทจะออกโทเคนดิจิทัลมาเสนอขายให้นักลงทุนที่สนใจ และนักลงทุนสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากโทเคนดังกล่าวเป็นการตอบแทน จนถึงตอนนี้ในปี 2020 เราจะเห็นได้ว่าจากการระดมทุนครั้งนั้นทำให้ Binance ได้ก้าวเข้าสู่ตลาดโลกในระยะเวลาอันรวดเร็ว และสร้างรายได้อย่างมหาศาลแม้ว่าจะเป็นเพียง Startup เท่านั้น
Changpeng Zhao กล่าวว่า Binance โชคดีที่เข้ามาในช่วงที่เป็น Market Timing ที่เหมาะสม เพราะในปี 2017 คนใช้อินเตอร์เน็ตเยอะมาก และยอดการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ก็ขยายตัว ทำให้การเปิดตัวธุรกิจสกุลเงินดิจิทัลจึงได้การตอบรับจากตลาดได้อย่างกว้างขวาง มีหน่วยงานคอยสนับสนุน ทั้งนี้ Binance ได้เปิดแพลตฟอร์มในหลายภาษา และสร้างระบบให้เสถียร เพื่อรับรองตลาดที่กว้างขึ้น อีกทั้งโมเดลธุรกิจของ Binance มีความโปร่งใสอย่างมาก ทำให้นักลงทุนรายใหญ่-ย่อย เชื่อถือในตัวธุรกิจทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้หลายคนอาจมองว่า Binance เติบโตและประสบความสำเร็จเร็ว แต่จริง ๆ แล้วกว่าที่จะเป็นภาพความสำเร็จว่าเป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของโลก นั้น ได้ผ่านเส้นทางที่ยากลำบาก ทำเอา Changpeng Zhao กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ถูกแฮ็ก หรือนโยบายจากรัฐบาลจีน โดยอุปสรรคที่ยากยิ่งเกิดขึ้นเพียงสองเดือนแรกของการก่อตั้ง Binance ในเซี่ยงไฮ้เท่านั้น เมื่อรัฐบาลจีนสั่งแบนการใช้สกุลเงินบิตคอยน์ทั่วประเทศเพื่อลดความเสี่ยงอาชญากรรม จึงทำให้ เขาและทีมงานเตรียมการย้ายบริษัทไปต่างประเทศ
เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน นโยบายต่าง ๆ รัฐบาลจีนทำให้ราคา ICO ของ Binance และค่าเงินสกุลดิจิทัลร่วงลงฉับพลัน จนทำให้ลูกค้าหลายคนได้รับความเสียหายจนบริษัทต้องชดเชยถึง 6 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ด่วนฉุกเฉินแต่ด้วยการให้บริการและปกป้องสิทธิลูกค้า จึงได้ใจคนจำนวนมากจากหลายประเทศและฟื้นตัวใหม่ภายใน 186 วันหรือราว ๆ 6 เดือน แต่เขาก้ต่อสู้จนสามารถผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาได้ และได้มีการขยายธุรกิจจากการเป็นแค่เว็บเทรด ไปสู่การให้บริการที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น
หลังจากที่ธุรกิจขยายไปทั่วโลก มีผู้เข้าใช้บริการมากขึ้น Binance จึงเติบโตและเปิดหน่วยงานอื่น ๆ ออกมาเป็นระบบนิเวศที่ครบวงจร เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุดดังนั้นในระบบนิเวศของ Binance จะประกอบไปด้วย Binance Labs (แหล่งสนับสนุนการเงินให้ธุรกิจหรือโครงการต่าง ๆ ให้ลงทุน), Binance Charity Foundation (แพลตฟอร์มช่วยเหลือด้านเงินทุนแบบไม่แสวงหาผลกำไร), Trust Wallet (กระเป๋าเงินในแพลตฟอร์ม), Binance Dex (แพลตฟอร์ม ซื้อขายคริปโตปราศจากคนกลาง), Binance Launchpad (แพลตฟอร์มการเปิดตัวโทเคนจากผู้ประกอบการ) , Binance Academy (เพื่อการศึกษาสินทรัพย์) , Binance Research (สำหรับการวิเคราะห์ตลาด) , และ Binance X (สำหรับนักพัฒนา) ทั้งนี้เป็นไปเพื่อเป้าหมายที่ไม่ให้การซื้อขายสินทรัพย์กระจุกอยู่ที่ตัวกลางแบบเดียว
Changpeng Zhao ให้มุมมองว่า ถือเป็นการยากที่จะคาดการณ์วงการนี้ในอนาคต แต่ถ้าพูดถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นตอนนี้อย่าง Decentralized Finance (DeFi) สำหรับเขา ได้มองว่ามันคือสินทรัพย์หรือระบบซอฟต์ทางการเงินใดใดที่ไม่ได้ถูกควบคุมผ่านการบริหารของสถาบันต่าง ๆ หรือกฎหมายในโลก โดยได้ยกตัวอย่างถึง แพลตฟอร์ม Liquidity Pool และ Automated Market Maker ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับความสนใจอยู่ในขณะนี้ โดยจะทำให้สร้าง Stable coin สินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถคงมูลค่าไว้คงที่ตลอดเวลาได้ และให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยรายปี (APY) ในระดับสูง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Non-Fungible Token (NFT) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ก็เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และมีโอกาสที่จะได้รับความนิยมอย่างมากในอนาคต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกม หรือการจัดการของสะสม และยังมี Security Token Offering (STO) ก็เป็นอีกหนทางในการระดมทุนที่เสนอขายหลักทรัพย์ โดยนักลงทุนจะได้รับโทเคนเช่นเดียวกันกับ (ICO) แต่โทเคนนั้นจะเป็นหลักฐานแสดงสิทธิในสินทรัพย์เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ หรือหุ้น อีกทั้งจะได้ผลตอบแทนเป็นกำไรหรือเงินปันผลเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม Changpeng Zhao มองว่าการระดมทุนด้วยวิธีนี้บริษัทต้องมีความรู้และพื้นฐานเชิงกฎหมาย อีกทั้งต้องทราบแนวทางปฏิบัติในแต่ละประเทศ
ส่วนแนวโน้มที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะมาแทนที่สินทรัพย์รูปแบบเดิม เขามองว่า ในทุกวันนี้คนใช้สินทรัพย์ Cryptocurrency มากขึ้น แต่ยังคงไม่ใช่วิธีหลักที่จะเป็นตัวกลางในการซื้อขายสินค้าและบริการเร็ว ๆ นี้ คนยังผูกติดกับวิธีการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดั้งเดิมอยู่ เพราะให้ความมั่นคงแน่นอนกว่า
แต่ในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าสินทรัพย์ดิจิทอลเหล่านี้จะมาแทนที่ในกรณีการซื้อขายข้ามประเทศ เพราะจะอำนวยความสะดวกได้ดีกว่าการแลกเปลี่ยนสกุลเงินทั่วไป โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ที่มีกฎหมายที่ยืดหยุ่นกว่า และประเทศมีศักยภาพทางเศรษฐกิจและเข้าถึงอินเตอร์เน็ต จึงมีแนวโน้มที่ Binance จะลงทุนในตลาดกลุ่มนี้มากขึ้น เพราะว่าเป้าหมายของ Binance ไม่ได้ต้องการจะไปในระดับ Global แต่ต้องการที่จะทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้ได้เข้าถึงในระดับ Local มากขึ้นนั่นเอง
---------------------------------------------
หากคุณต้องการติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับอนาคตของโลกการเงินเพิ่มเติม สามารถเข้าไปศึกษาต่อได้ที่ Techsauce On Demand แพลตฟอร์มออนไลน์รูปแบบใหม่ที่รวบรวมคอนเทนต์ที่คุณอาจจะพลาดบนเวที Techsauce Global Summit และ Techsauce Culture Summit ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ของคุณไร้พรมแดนไปกับผู้นำทั่วโลก
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด