Fintech ที่ติดตั้งสมองกลช่วยวางหมากด้านการลงทุนที่ชาญฉลาด กำลังรุกคืบสู่แวดวงตลาดหุ้นเมืองไทย แต่ไม่อาจช่วงชิงงานจาก Broker ได้ถ้าผู้ให้คำปรึกษาเหล่านั้นปรับตัวและเรียนรู้ที่จะใช้ Digital Technology ให้เป็นอาวุธลับ ช่วยนักลงทุนให้ค้าหุ้นได้ง่ายขึ้น จากคำบอกเล่าของ ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย
ด้วย Digital Technology ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Fin Tech หรือ AI ต่างก็ทำให้นักลงทุนทำธุรกรรมได้สะดวกสบายมากขึ้น ต่างจากในอดีตที่การลงทุนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ตอนนี้กลายเป็นปัจจัยที่ 6 ของชีวิตแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจไม่ได้แล้ว ทั้งนี้เมื่อลูกค้า/นักลงทุนคาดหวังในสิ่งที่ควรจะได้ ฝั่งบริษัทหลักทรัพย์หรือบล. ที่เป็น ก็ต้องสามารถตอบโจทย์
จริง ๆ บริษัทหลักทรัพย์เริ่มมีพัฒนาการในเรื่อง Fintech มาก่อนนี้สักระยะแล้ว ที่เริ่มจากเรื่อง Internet Trading หรือการให้ซื้อขายหุ้นผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต ต่อมาก็พัฒนาให้สามารถค้าหุ้นได้ง่ายขึ้นแต่อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นอย่างถ่องแท้ก่อน ด้วยเหตุนี้ บล. จึงพยายามดิ้นรนที่จะพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ กระท้่งเกิด Fintech ที่มาตอบโจทย์อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามในช่วงแรก แม้ บล. ทั้งหลายจะเริ่มจากทำตัวเองให้เป็น Fintech กระทั่งมี Fintech Startup เกิดขึ้น ที่ถือว่าเป็นเรื่องดีมาก เพราะเป็นสถานการณ์ที่มาสะท้อนมุมมองใหม่ให้ผู้เล่นที่เป็นบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ดังเดิมหรือโบรกเกอร์หุ้น (stockbroker) ในตลาดได้เข้าใจกระแสการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดจาก Digital Technology ได้ชัดเจนขึ้น
“การที่เริ่มมองมุมใหม่ที่ piratical ขึ้น ด้วยการนำ Fintech มาเสริมจะช่วยให้บริการของโบรกเกอร์ฯ ดียิ่งขึ้น”
มองว่าถ้าเกิด win-win ด้วยกันทั้งสองฝ่าย จึงนำไปสู่พัฒนาการที่เร็วขึ้นและตอบโจทย์ลูกค้า (นักลงทุน) ได้ดีขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นจุดหลักที่สำคัญมาก
เริ่มที่ระบบการซื้อขายหุ้นก่อน ที่ใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองหุ้น เช่น หุ้นตัวไหนที่ P/E Ratio ยังถูกอยู่ (P/E Ratio คืออัตราส่วนทางการเงินที่เทียบกันระหว่าง Price/Earning Per Share หรือ ราคาหารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น) หรือหุ้นตัวไหนมีแนวโน้มที่กำไรจะเติบโตกว่า 20% ในอนาคต หรือใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาจับตามองเรื่องสัญญาณต่าง ๆ แต่ตอนนี้ไปไกลถึงเรื่องวางกลยุทธ์การลงทุนโดยมาช่วยจัดพอร์ตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ
ปัจจุบันดิจิทัลเข้าไปมีส่วนในระบบการซื้อขายหุ้นตั้งแต่หน้าบ้านถึงหลังบ้าน เริ่มตั้งแต่การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ให้เป็นแบบดิจิทัลทั้งกระบวนการ ครอบคลุมไปถึงการติดตามพอร์ตได้ตลอดเวลาผ่านทาง App รวมถีงสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับคำแนะนำด้านการลงทุนได้ตามที่นักลงทุนต้องการ
ลูกค้าได้รับบริการดีขึ้นมากจากการที่เรานำ Digital Technology มาใช้
เทคโนโลยีมีบทบาทนานแล้ว ซึ่งแน่นอนเรามีความจำเป็นต้องใช้คนน้อยลงแต่ไม่ใช่ไม่ต้องการเลย ดังนั้น “คนจึงไม่ตกงาน แต่อัตราการจ้างงานน้อยลง” หรือเรียกว่ามูลค่าเพิ่มจากธุรกรรมสูงขึ้นสวนทางกับอัตราการเพิ่มของจำนวนบุคลากรที่ลดลง แปลว่าประสิทธิภาพของการทำงานในภาพรวมดีขึ้น
“ไม่กังวลเรื่องคนตกงาน แต่การยกระดับคนให้พัฒนาทันเทคโนโลยีเป็นโจทย์ที่สำคัญกว่า โดยที่คนต้องทำงานร่วมกับ Fintech ให้ได้”
จัดให้มีหลักสูตรฝึกอบรมตั้งแต่ระดับผู้บริหารระดับสูงจนถึงพนักงานทั่วไปให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้ เพื่อให้ตามทันแนวทางของนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น Fintech Digital Asset เป็นต้น รวมถึงมีการวางกฎกติการ่วมกันเพื่อช่วยย่นระยะเวลาในการเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านการลงทุน เพราะไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาแข่งขันกันแต่การพัฒนาต่อยอดได้เร็วก็จะช่วยให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้มากขึ้น ทั้งนี้ภายในสมาคมบล. จะมีคณะทำงานที่อยู่ภายใต้ชมรมต่าง ๆ เพื่อช่วยกันพัฒนาคนแต่ละกลุ่มในอุตาสากรรม ซึ่งที่ผ่านมานับว่าทำได้มีประสิทธิภาพดี
นอกจากนี้ สมาคมบล. ยังต้องมีบทบาทเป็นตัวแทนในการประสานงานกับทางการทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ ฯ) เพื่อวางกฎเกณฑ์ที่รองรับกับเปลี่ยนแปลงจาก Digital Disruption
มองว่าน่าจะเป็นระบบ Information Technology ที่สนับสนุนการทำงานหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กันมานานหลายสิบปี ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนยังเป็นโทรทัศน์ที่ใช้ระบบสัญญาณแอนะล็อกอยู่ แต่เมื่อการทำธุรกิจในอนาคตต้องนำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เช่น ระบบ data mining หรือแม้แต่ AI หากระบบหลังบ้านยังจำแนกข้อมูลออกมาไม่ได้ย่อมทำให้การนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์สูงสุดเป็นเรื่องยาก ซึ่งเป็นความท้าทายที่กำลังประสบอยู่และเป็นอุปสรรคใหญ่ที่อุตสาหกรรมต้องปรับเปลี่ยน และยังต้องใช้งบลงทุนสูงด้วย เพราะเป็น major change
ถ้าจากคะแนนเต็ม 10 ก็น่าจะอยู่ที่ 7 ถึง 8 คะแนนขึ้นอยู่กับรูปแบบของแต่ละบริษัท ที่ให้คะแนนสูงเพราะธุรกิจหลักทรัพย์อยู่ในโลกของการปรับตัวสูงอยู่แล้ว ด้วยภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นทุกวัน จึงเป็นธุรกิจที่ต้องตื่นตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว
รวมถึงด้วยแรงกดดันจากเรื่องค่าคอมมิชชั่น (Commission Fee) หรือ ค่านายหน้าที่มีแนวโน้มจะลดลงเรื่อย ๆ จึงเป็นตัวผลักดันที่บริษัทโบรกเกอร์ต้องหาเครื่องมือมาช่วย ซึ่งเทคโนโลยีจึงมาตอบโจทย์ในเรื่องนี้และสามารถเกิดการพัฒนาได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
มีหลายด้านที่เปลี่ยนไป จะมีนักลงทุนที่จัดเป็นกลุ่มขาใหญ่ลดลง หรือเปลี่ยนจากเคยซื้อขายรายวันเป็นกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า VI หรือ Value Investor มากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ในวันนี้ก็จะเปลี่ยนจาก VI เป็น Robot ขณะที่ทางการก็ต้องปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้ทันยุคทันสมัยมากขึ้น
นอกจากนี้ฝั่งบริษัทโบรกเกอร์เองก็ต้องปรับในด้านการให้คำแนะนำ ที่ไม่ใช่เพียงบอกนักลงทุนว่าวันนี้ควรซื้อขายหุ้นตัวไหน แต่ต้องเป็นลักษณะจัดกลยุทธ์การลงทุนที่ช่วยดูแลตั้งแต่เงินฝาก เงินสด หรือทรัพย์สินที่ไม่เสี่ยงมาก ประหนึ่งให้บริการด้าน Wealth Management ที่ไม่ได้มีไว้แค่สำหรับคนรวยมาก ๆ เท่านั้น ซึ่งในวันนี้ Fintech สามารถมาตอบโจทย์พวกนี้ได้แล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่คนเป็นผู้วางกลยุทธ์การลงทุนให้ ซึ่งย่อมคิดค่าบริการสูง
"เทคโนโลยีจะช่วยจัดพอร์ตให้สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นหรือระดับกลาง แต่คนที่รวยมาก ๆ ก็อาจจำเป็นต้องมีเพื่อนคู่คิดอยู่"
อย่างไรก็ตาม ต้องเปลี่ยนทัศนคติของนักลงทุนรุ่นใหม่ให้ถูกต้องก่อน นั่นคือ ไม่ควรคาดหวังว่าการเล่นหุ้นสามารถทำให้ร่ำรวยได้ทันที แต่ความจริงแล้วจะไปถึงจุดนั้นได้ต่อเมื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินก่อน ซึ่งมีรากฐานจากการเก็บออมและการลงทุนที่ถูกต้อง ทั้งนี้การตั้งเป้าหมายการลงทุนที่ดีควรเริ่มจากทัศนคติที่ดีก่อน
จริง ๆ ในตอนแรกน่าจะเป็นอย่างนั้น (แย่งลูกค้า) แต่การทำธุรกิจหลักทรัพย์มีอะไรที่มากกว่าแค่การซื้อขายหุ้น นั่นคือแม้ว่า Fintech จะเป็นเครื่องมือและพัฒนาการที่ดีก็ตาม แต่การค้าหลักทรัพย์ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น การชำระราคา การเก็บรักษาทรัพย์สิน ฯลฯ ซึ่งฝั่ง Fintech อาจไม่ชำนาญและการพัฒนาระบบหลังบ้านก็ต้องใช้เงินทุนสูง
กระนั้น การที่ทั้งฝ่ายโบรกเกอร์และ Fintech Startup ต่างกลัวว่าจะมาแย่งชิงธุรกิจกันเป็นทัศนคติที่ผิด เพราะในที่สุดเราคือ Ecosystem เดียวกัน จึงควรทำงานร่วมกัน นั่นคืออะไรที่ บล. เคยทำไม่ได้ ก็น่าจะแบ่งปันทรัพยากรเพื่อพัฒนาสิ่งเหล่านั้นด้วยกัน ขณะที่ Fintech Startup ก็สามารถเข้าถึงลูกค้าของบริษัทโบรกเกอร์ได้โดยไม่ต้องมาเริ่มทำตลาด ไปเสนอขาย หรือหาลูกค้าเอง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้หลายรายไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเหนื่อยกว่าจะได้ฐานลูกค้ามาได้
Fintech Startup ที่ประสบความสำเร็จ เพราะสามารถทำงานร่วมกับ Ecosystem ปัจจุบัน ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาและขจัดความเสี่ยงที่ธุรกิจจะล้มเหลว จึงเห็นว่ามีหลายรายเติบโตได้ดีด้วยการเชื่อมต่อกับบริษัหลักทรัพย์
ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล ถ้าหากอยู่ในจุดที่ต้องพึ่งพากันก็ต้องแลกเปลี่ยนกันด้วย นั่นคือโบรกเกอร์ก็ไม่ต้องพัฒนาบางเรื่องด้วยตัวเองแต่ก็มีเครื่องมือใหม่ ๆ ให้ลูกค้าได้ใช้บริการ ซึ่งการใช้งานของลูกค้าก็ย่อมเป็นรายได้้ของผู้พัฒนา Fintech
“แนวโน้มการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทโบรกเกอร์กับ Fintech Startup ดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งด้วย Digital Asset ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้มีคนใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นอีก”
Digital Asset เป็นทางเลือกใหม่ในการระดมทุน เพราะไม่จำเป็นต้องเสนอขายหุ้นแล้วนำไปสู่การสร้างภาระผูกพันที่จะตามมา แต่เลือกออก token ที่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้เงินจริง ๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ประกอบการที่ขนาดกิจการไม่ใหญ่มาก ส่วนการซื้อขายเป็นระบบที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงในระยะอันใกล้นี้ Digital Asset จะมาเปลี่ยนพฤติกรรมนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
เชื่อหรือไม่ว่าลูกค้ารายบุคคลถึง 70% ที่ซื้อขายหุ้นผ่านระบบ Online ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นจำนวนที่เติบโตสูงมาก เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่อาจแยกได้ว่าเป็นธุรกรรมผ่าน App และทาง website ในอัตราเท่าไร แต่ต่อไปย่อมขยายการทำธุรกรรมไปสู่ช่างทางใหม่ ๆ มากขึ้น ทั้งนี้มองว่าการซื้อขายหุ้นผ่าน website น่าจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ เพราะคนใช้โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ mobility อื่น ๆ มากขึ้น
กลุ่มคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ยังชอบคุยกับเจ้าหน้าที่ marketing อยู่ เพราะแม้จะมีเครื่องมือต่าง ๆ มาให้ข้อมูลแล้ว บางคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะสอบถามหรือโทรคุยเพื่อขอความเห็นจากคนอื่นเป็นเหมือน second opinion มาช่วยตัดสินใจ เป็นแหล่งข้อมูลใหม่ หรือนำเสนอสินค้าใหม่ ดังนั้นคนที่เป็น Broker จึงยังคงมีคุณค่า แต่ต้องพัฒนาไปตามกาลเวลา อีกทั้งธุรกิจค้าหลักทรัพย์ยังเติบโตอยู่จึงยังมีความต้องการบุคลากรมาเพิ่มในอนาคต โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาด้าน Wealth Management
ยืนยันว่าไม่ต้องกลัวว่าจะตกงาน เพียงแต่ผู้แนะนำการลงทุนนั้น ๆ ต้องรู้จักใช้เครื่องมือให้เป็นประโยชน์กับลูกค้า
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด