ต่อจากนี้ Gen Alpha จะไม่ใช่กลุ่มที่เด็กที่สุดอีกต่อไป เพราะในปี 2025 ที่เราได้ก้าวเข้าสู่อย่างเป็นทางการ โลกได้ต้อนรับเจเนอเรชันใหม่ที่กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือ Beta เมื่อเด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 เป็นต้นไปจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม Gen Beta ซึ่งว่ากันว่าพวกเขาจะเติบโตในยุคที่ไม่เคยรู้จักโลกที่ปราศจาก AI
เจเนอเรชันเบตาจะมีลักษณะพิเศษอย่างไร? และพวกเขาจะมีบทบาทสำคัญขนาดไหนในอนาคต? บทความนี้ Techsauce จะพาทุกคนมาทำความรู้จักและเจาะลึกถึงเจเนอเรชันแห่งอนาคตนี้ไปพร้อมกัน !
Gen Beta คือ ผู้ที่เกิดในช่วงปี 2025 - 2039 เด็กเหล่านี้ที่เกิดมาก็จะอยู่ในวัยที่เป็นลูกหลานของคนรุ่น Gen Y และ Gen Z ซึ่ง Mark McCrindle นักวิจัยทางสังคมและนักอนาคตวิทยาคาดว่าในปี 2035 คาดว่า Gen Beta จะมีสัดส่วน 16% ของประชากรโลก และจะมีชีวิตยืนยาวไปถึงศตวรรษที่ 22
นักอนาคตศาสตร์ยังคาดการณ์ว่าเจเนอเรชันนี้จะเติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตมากๆ และเป็นเจเนอเรชันที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง
เหตุผลที่เรียกว่า "Gen Beta" มาจากตัวอักษรกรีก โดยเป็นการสืบต่อจาก Gen Alpha ซึ่งเป็นรุ่นก่อนหน้า และการตั้งชื่อด้วยตัวอักษรกรีกนี้เป็นระบบใหม่ที่เริ่มต้นจาก Gen Alpha
McCrindle ชี้ว่าการตั้งชื่อนี้สะท้อนถึงวิธีที่เจเนอเรชันต่างๆ กำลังถูกหล่อหลอมจากโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดย Gen Beta เป็นตัวแทนของยุคที่เทคโนโลยีผสมผสานเข้ากับชีวิตประจำวันในระดับที่ลึกซึ้งกว่ายุคก่อนหน้า
เนื่องจาก Gen Beta จะเติบโตในยุคที่โลกดิจิทัลและโลกกายภาพผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ Gen Alpha ได้เห็นการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีอัจฉริยะและปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่ Gen Beta จะอยู่ในยุคที่นวัตกรรมเหล่านี้ถูกรวมเข้ากับชีวิตประจำวันเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญเกือบทุกด้านของชีวิต อาทิ ในด้านการศึกษา อาชีพ การดูแลสุขภาพ และความบันเทิง
เด็กในเจเนอเรชันนี้ต้องเรียนรู้ที่จะใช้โลกดิจิทัลอย่างรอบคอบ โดยพ่อแม่มีบทบาทสำคัญในการช่วยแนะนำให้พวกเขาใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยและมีความคิดสร้างสรรค์
เจเนอเรชันนี้จะเติบโตในสังคมที่ยอมรับความแตกต่าง เช่น เชื้อชาติ ความเชื่อ และแนวคิดต่าง ๆ พวกเขาจะเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นและพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
สรุปง่ายๆ ก็คือ Gen Beta จะโตมากับโลกดิจิทัล มีความเป็นตัวของตัวเอง ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีสติ และยอมรับความแตกต่างในสังคมได้ดี
เจเนอเรชันเบตา (Gen Beta) จะเติบโตในโลกที่ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาระดับโลกอื่น ๆ พวกเขาจะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ในเจเนอเรชันมิลเลนเนียลและเจเนอเรชัน Z ซึ่งให้ความสำคัญกับความยั่งยืน สิ่งนี้จะหล่อหลอมให้เจเนอเรชันเบตาให้ความสนใจกับปัญหาโลก เช่น การดูแลสิ่งแวดล้อม และการคิดค้นวิธีแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์
ตามข้อมูลจาก Pew Research Center พบว่า 71% ของมิลเลนเนียลและ 67% ของเจเนอเรชัน Z เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศควรเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นสำหรับอนาคต ความคิดเช่นนี้อาจส่งต่อไปยังเจเนอเรชันเบตา ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มที่ตระหนักถึงปัญหาโลกอย่างจริงจังและมุ่งมั่นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง
เจเนอเรชันนี้จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างประชากร เช่น อัตราการเกิดที่ลดลงและอายุขัยที่ยาวนานขึ้น ซึ่งทำให้ความสนใจเปลี่ยนจาก "ประชากรล้นโลก" ไปเป็น "ความยั่งยืนของประชากร"
ในอนาคต หลังจากเจเนอเรชันเบตา จะมีเจเนอเรชันแกมมา (Gen Gamma) ซึ่งจะเกิดระหว่างปี 2040 ถึง 2054 สังคมในยุคต่อไปจะต้องทำความเข้าใจความต้องการ ค่านิยม และความชอบของเจเนอเรชันเหล่านี้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาจะนำมาในอนาคต
อ้างอิง: businessinsider, abcnews
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด