เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ชีวิตมักจะผันแปรตามความคิดของเราเสมอ ดังนั้น ทัศนคติจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการกำหนดอนาคตของเรา ในงาน Techsauce Virtual Summit 2020 คุณวิลเลียม มาเลค (William Malek) Senior Executive Director ของ SEAC ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน ได้มาพูดในประเด็น Futures Thinking Mindset for COVID Recovery Planning ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ที่ทุกคนล้วนตกอยู่ในความไม่แน่นอน เราจะปรับทำอย่างไรจึงจะสามารถวางแผนหรือกลยุทธ์ เพื่อฟื้นฟูและคว้าโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจได้ในระยะหลังจากนี้
คุณวิลเลียม กล่าวว่า การเข้ามาของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อชีวิตของทุกคนค่อนข้างมาก เพราะสถานการณ์เช่นนี้มันบังคับให้ทุกคนต้องคิดทบทวนว่าจะต้องปรับตัวอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเหตุการณ์นี้ คือ ทัศนคติ เพราะอนาคตของเราล้วนแล้วแต่ขึ้นกับมุมมองของเราทั้งนั้น ถ้าทุกคนเอาแต่มองที่ ‘ความกลัว’ อนาคตมันก็จะเต็มไปด้วย ‘ความกลัวและการเอาตัวรอด’
แต่ถ้าเราตั้งคำถามใหม่ แล้วเราบอกว่าจะอย่างไรให้ทุกอย่างดีขึ้น ทำอะไรเพื่อตัวเอง หรือครอบครัวและประเทศชาติได้บ้าง มันก็จะทำให้โลกของเราสดใสยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก ดังนั้นเราจะต้องดูว่า COVID-19 มันเกิดขึ้นมาในแง่ร้าย เพื่อมาทำร้ายเรา หรือ เกิดขึ้นเพื่อเรา?
ทุกการตัดสินใจของเรามันเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
สิ่งที่พวกผู้นำระดับโลกมักจะบอกเสมอว่า...ถ้าคุณอยากที่จะกำหนดอนาคต ให้กำหนดจากความคิดของตัวเองก่อน ไม่ว่าประเทศจะเป็นอย่างไร บริษัทจะเป็นอย่างไร ตัวคุณจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างเริ่มต้นจากความคิดของคุณทั้งนั้น
โดยอนาคต เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งของห้วงเวลาเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าทุกคนเริ่มจากการเปลี่ยนความคิดและการตัดสินในวันนี้ อนาคตของทุกคนจะเปลี่ยนอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจะต้องใช้ประโยชน์จากการที่เราเปลี่ยนแปลงและตัดสินใจใหม่
เราต้องอย่ามัวแต่ยึดติดกับอดีต อย่าไปคิดว่าอะไรก็ตามมันต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ให้คิดพยายามสร้างอนาคตใหม่ที่ดีกว่าเดิม ...เราต่างมีตัวเลือกและเราสามารถที่จะทำให้สถานการณ์มันดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้
เมื่อเกิดวิกฤตที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเกิดขึ้น ในแง่ของการบริหารองค์กรจะเห็นได้ว่า แผนงานระยะยาวที่วางไว้ 5 ปี ตอนนี้คือหายไปหมดเลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะคิดว่า จะทำยังไงให้มีเงินสดเข้ามา ต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร พฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ทุกคนรู้สึกว่าชีวิตมีความไม่แน่นอน คำถามคือ แล้วเราจะวางแผนอนาคตที่เราไม่สามารถคาดการณ์นี้ได้อย่างไร ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสใหญ่ของการเปลี่ยนแปลง
สถานการณ์ตอนนี้หลายคนอาจจะเกิดความกลัว เพราะความกลัว เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกถึงความไม่แน่นอน ดังนั้นการที่เราจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติใหม่ได้นั้น เราจะต้องรู้สึกว่าเราอยู่กับความเป็นจริง เพราะโอกาส หรือตัวเลือกใหม่ๆ มักจะมองเห็นได้ก็ต่อเมื่อเราพยายามมองด้วยเหตุและผล รวมถึงจะต้องตีโจทย์ให้แตกว่าหากเป็นเช่นนี้ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
เริ่มต้นจากการที่ให้เราตั้งคำถามและจะเห็นผลของสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเราจะต้องเข้าใจและเห็นชัดเจนว่าสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร และสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องมีด้วย คือ ความตระหนัก หากเราไม่มีความตระหนัก ที่ถูกต้องจะทำให้เราไม่สามารถคาดเดาหรือคาดการณ์อะไรได้เลย
เราต้องถามตัวเองว่าเราชัดเจนว่าตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร….
การมองอย่างชัดเจนให้รู้ว่าควรทำ หรือไม่ควรทำอะไร มันคือ การศึกษาความเป็นไปได้ ประเด็นคือ ถ้าเราทำ X สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็น 1 2 3 แต่ถ้าเราทำ Y สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็น 5 6 7 มันแค่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้
เมื่อได้คำตอบจากกระบวนการด้านบนแล้ว เราและทีมก็จะมารวมตัวกัน แล้ว reframe ใหม่ว่าเมื่อสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น เราจะต้องทำอะไร เอาตัวเลือกต่างๆที่มีมากางแล้วเลือกว่าอันไหนจะเหมาะที่สุด หรือ ดีที่สุด
Alternative Futures
กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เราจะได้ออกมานั้น จะเกิดจากการที่เราได้ประเมินทั้งหมดแล้วว่าโอกาสความเป็นไปได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร มันมีอะไรบ้าง อันไหนที่น่าจะเป็นประโยชน์กับเราที่สุด ต้องอยู่กับโลกของความเป็นจริงให้ได้
นับตั้งแต่เกิด COVID-19 ส่งผลให้ตอนนี้หลาย ๆ บริษัทกำลังพุ่งทะยาน เพราะว่ารูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เหมาะกับโลกอนาคต ดังนั้นเราเองถึงต้องคิดเพื่ออนาคตตลอด ว่าอะไรที่จะทำให้เราเติบโต
เช่น ตอนนี้คนไม่ค่อยไปกินข้าวกันในร้านอาหาร เราจะปรับตัวอย่างไร บางทีพวกร้านอาหารต่างๆ ก็ต้องหันมาขายอาหารออนไลน์ มากกว่าที่จะให้คนไปเจอกันที่ร้าน
ดังนั้นในช่วงเวลาแบบนี้ สำหรับคนที่อยู่ในบทบาทของผู้นำองค์กร สิ่งที่ผู้นำควรทำ คือ การเดินเข้ามาบอกฉันจะทำอะไรบ้าง เพราะเวลาที่เราไม่รู้ว่าเราจะทำอะไร สิ่งที่สำคัญคือ การถามคำถามที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม
ถ้าหากว่าเราเป็นผู้นำที่ดี เราเดินเข้าไปเราไปถามถามพนักงาน ถามลูกค้า ถามคนรอบตัว เพื่อที่จะได้ข้อมูลที่ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ได้มากขึ้น รวมถึงการที่เราเก็บข้อมูลมากขึ้นมันก็ช่วยลดความเสี่ยงและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของเราด้วย
คุณวิลเลี่ยม กล่าวว่า ตอนนี้เราจะเห็นว่า มีผู้เชี่ยวชาญสามารถที่จะทำนายได้เลยว่าปีนี้จะเป็นอย่างไรเกิดขึ้นค่อนข้างมาก สำหรับผมมองว่า อนาคตของเรามันจะเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง หลาย ๆ คนจะต้องปรับความคิดของตัวเอง เพื่อที่จะเข้าใจว่า ชีวิตมันจะไม่เป็นเส้นตรงอีกต่อไปแล้ว เหมือนที่เราเคยใช้ชีวิตตามปกติได้มา 20 -30 ปี และเราจะต้องอาศัยอยู่ในโลกที่มันคาดการณ์อะไรไม่ได้ แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ยาก แต่เราจะต้องรับรู้ และลองมองดูให้ดี ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นมันไม่ได้เป็นเพียงช่วงวิกฤตระยะสั้น แต่มันจะมีความเกี่ยวโยงไปในอีกหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ภาวะโลกร้อน เศรษฐกิจที่ชะลอลง และมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น ให้เราต้องชินกับมัน จะต้องเข้าใจว่าชีวิตจะยุ่งเหยิงและไม่มีความมั่นคง และมันเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นคุณต้องเดินออกมาจากความกลัวของคุณให้ได้
สุดท้ายนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การรู้ว่าสิ่งที่คุณควบคุมได้ คือ ความคิดของคุณ และการตอบสนองต่อความคิดของคุณ คุณจะตอบสนองต่อข้อมูลและสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ถ้าคุณตอบสนองด้วยความกลัว หรือรู้สึกสิ้นหวังอนาคตของคุณก็จะมีแต่ความกลัวและสิ้นหวัง
ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่า ฉันจะคิดต่างได้อย่างไร ฉันจะตอบสนองได้อย่างไร หากเราทำแบบนี้ได้ มันจะทำให้คนมีความสุขและมีความหวังมากขึ้น และจะส่งผลให้สามารถพลิกโฉมทั้งชุมชนได้ เราจะดูแลกันและกันได้ ระวังหลังให้กันและกันได้ และสถานการณ์นี้จะทำให้เศรษฐกิจและชุมชนของเรา ดีขึ้นมาในแบบที่เราไม่เคยจินตนาการมาก่อน
***สำหรับ material ประกอบ session นี้ สามารถลงทะเบียนขอรับได้ที่ https://forms.gle/NCJLsWSYjhtkbDwF8
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด