เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแค่ศูนย์และหนึ่ง ถูกหรือผิด จึงต้องฝึก 'เลิกคิดแบบ Binary' | Techsauce

เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแค่ศูนย์และหนึ่ง ถูกหรือผิด จึงต้องฝึก 'เลิกคิดแบบ Binary'

เคยได้ยินคำว่า Binary กันหรือไม่? ศัพท์คำนี้เราอาจใช้กันในวงการคอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึง 0 หรือ 1 เท่านั้น หากเปรียบกับความคิด ก็เหมือนกับการคิดด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเชื่อว่าความคิดมีเพียงแค่สองด้านเสมอ แล้ววิธีคิดแบบ Non-binary เป็นอย่างไร? การพยายามเข้าใจคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา การเปลี่ยนความคิดจะเป็นวิธีที่ดีกว่าหรือไม่? ค้นหาคำตอบจากบทความนี้

เนื้อหาในบทความนี้ เรียบเรียงจากคุณอภิรัตน์ หวานฉะเอม หรือคุณอาร์ต Chief Digital Officer ของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี (SCG) ที่ได้มาให้ความรู้กับ Techsauce กับ วิธีคิดแบบ Non-binary

ดังนั้นคำว่า ‘Binary Thinking’ นี้จึงมีความหมายก็คือ การที่เรามีความคิดแค่ 2 ด้านเท่านั้น เช่น 0 หรือ 1, ปิดหรือเปิด, ขาวหรือดำ, ดีหรือไม่ดี และถูกหรือผิด ซึ่งในชีวิตของเรา เราอาจจะเผชิญกับการสอนแบบนี้และอาจจะชินไปกับความคิดแบบนี้ อย่างไรก็ตามแต่คุณอาร์ตได้เผยว่า เมื่อก่อนเขาก็มีชีวิตที่อยู่กับความคิดแบบ Binary Thinking แต่เมื่อเขาโตขึ้น เข้าไปเจอกับสังคมใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ที่มีคนมาจากหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายความคิดมากขึ้น ทำให้เขานั้นตระหนักว่าจริง ๆ แล้ว ชีวิตของเรานั้นมันไม่ได้มีแค่ขาวหรือดำ แต่มันมีสิ่งที่เรียกว่า ‘Shade of Grey’ หรือพื้นที่สีเทาที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาวและดำ 

การไม่คิดแบบ Binary Thinking มีประโยชน์อย่างไร?

แน่นอนว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากการคิดแบบ Non-binary ในทุก ๆ ส่วนของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือในชีวิตการทำงาน ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะถูกหล่อหลอมมาแบบ Binary Thinking ที่ต้องชี้ให้ชัดว่าสิ่งต่าง ๆ ถูกหรือผิด และเชื่อว่าความคิดมีสองด้านเสมอ แต่สำหรับคนไหนที่มีความฝันอยากจะสร้างอิมแพคหรือความเปลี่ยนแปลงประเทศชาติหรือสังคม ก็ควรจะสามารถที่จะก้าวข้ามความคิดแบบ Binary Thinking นี้ให้ได้ก่อน รวมถึงในยุคปัจจุบัน ที่เป็นยุคของการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ยุคของ Startup และเป็นยุคที่มีความไม่แน่นอน 

การคิดแบบ Binary นี้จะทำให้เกิดข้อจำกัดและขีดจำกัดขึ้น เช่น การมองว่าเด็กนั้นฉลาด แต่แบบไหนที่เรียกว่าฉลาด เราอาจจะมองไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เด็กอาจจะจบได้เกียรตินิยม แต่ไม่ใช่เก่งในลักษณะที่อุตสาหกรรมนั้นมองหา ดังนั้นการมองแบบนี้จึงเริ่มเบลอขึ้น ซึ่งการมองแบบ Non-binary หรือ Directional จะเป็นสิ่งช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จในสังคมการทำงานในปัจจุบัน

สำหรับ Startup บริษัทเหล่านี้ล้วนมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากจะเดินไปจุดไหน แต่พวกเขาไม่รู้แน่ ๆ ว่าจะเดินไปทางไหน และพวกเขาก็ไม่มีทรัพยากรเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ ดังนั้นก็ต้องมีการลองผิดลองถูกกันบ้าง ซึ่งนี่ต้องการวิธีการคิดแบบ Non-Binary ในการค่อย ๆ ลองหลาย ๆ วิธี เพื่อที่จะหาทางและวิธีที่เหมาะกับบริษัทที่สุด

การคิดแบบ Non-binary จะช่วยเราจัดการเมื่อเจอกับคนที่มีอารมณ์ด้านลบอย่างไรได้บ้าง?

อย่างแรกที่จะต้องยอมรับก็คือเราไม่สามารถไปเปลี่ยนคนอื่นได้ แค่เพราะว่าเค้าคิดหรือมีอารมณ์ที่ไม่เหมือนกับเรา ไม่ได้แปลว่าเค้าผิดหรือถูก ซึ่งตัวช่วยที่เราจะใช้นี่ก็คือ “Communication” หรือ “การสื่อสาร” เพื่อที่จะได้รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นคิดอะไรอยู่และรู้สึกอย่างไร แต่หลาย ๆ ครั้งมันจะมีสิ่งที่เรียกว่า “Noise” ตามมา ซึ่ง Noise ก็คืออารมณ์ สีหน้าที่ออกมา และพลังงานลบ ซึ่งสิ่งที่เราจะทำได้คือการมี “Emotional Maturity” หรือที่เรียกว่า “วุฒิภาวะทางอารมณ์” 

ซึ่งในการที่เราจะมี Emotional Maturity คือการ “Denoise” หรือความสามารถที่เราจะรับมาแต่ข้อมูลและสารโดยไม่สนใจ Noise เหล่านั้น โดยเราจะต้องมี Empathy ในการทำความเข้าใจฝ่ายตรงข้ามว่าเค้าอาจจะมีความเครียดอะไรบางอย่าง ทำให้เค้าแสดงการกระทำด้านลบออกมา ซึ่งการคิดแบบ Non-binary อาจจะช่วยทำให้เราเข้าใจและวิเคราะห์เหตุของการกระทำนั้น ๆ ได้มากขึ้น และการที่องค์กรจะเดินไปได้และไปได้ไกล เราก็ต้องพึ่งการมี Emotional Maturity ของทุกคนในองค์กรด้วย

STEP ในการมี Emotional Maturity

  1. Awareness รู้อารมณ์ของตนเอง
  2. Self-monitoring ในสถานการณ์นี้ สมควรใช้อารมณ์หรือไม่ หรือสมควรใช้อารมณ์สัก Level ไหน อย่าปล่อยให้อารมณ์มันเลยเถิดไป
  3. Open กับอารมณ์อื่นที่อาจจะเข้ามา และ Denoise อารมณ์ด้านลบออกไป อาจจะดูเป็นเรื่องยาก แต่ก็สามารถฝึกกันได้

ซึ่งการคิดแบบ Non-binary หรือ Directional ไม่ใช่แค่การไม่ใช่แค่การคิด 2 ด้านเท่านั้น แต่รวมถึงการคิดบวกด้วย แทนที่เราจะคิดแบบ Reactive เราก็คิดแบบ Proactive 

ในสถานการณ์ที่มีข่าววิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาทางสังคมต่าง ๆ บน Social Media ทำให้เกิดคนอยู่ 2 แบบก็คือ คนที่หลีกเหลี่ยงที่จะไม่เสพเพื่อที่จะไม่ให้จิตตก และคนที่เสพข่าวแต่สามารถที่จะดึงข้อมูลออกมาโดยไม่มีอารมณ์ร่วม แบบไหนถึงจะดี?

อย่างแรกคือการที่เราไม่ควรจะ Disconnect และในการคิดแบบ Non-Binary เราก็ไม่ควรจะ Ignore ข่าวสารต่าง ๆ เราควรจะหาคำตอบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยเฉพาะสิ่งที่เราไม่ชอบ ซึ่งสิ่งแรกที่เราต้องทำคือการ Aware ว่าเราไม่ชอบ สองคือการถามตัวเองว่าทำไมเราถึงไม่ชอบสิ่งเหล่านั้น และทำการเข้าใจและวิเคราะห์เหตุของสิ่งนั้น หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินประโยคว่า “ในวิกฤตมีโอกาส” ซึ่งถ้าเราเลือกที่จะปิดประตูใส่ข้อมูลวิกฤตเหล่านั้น เราก็จะเสียโอกาสของเราไป

ถ้าเรา Disconnect กับวิกฤต เราก็จะไม่เห็นโอกาส

ทริคก็คือการที่เสพทุกข้อมูลทุกอย่าง และวิเคราะห์ว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น และ Denoise ความรู้สึกและอารมณ์เหล่านั้นออกไป ซึ่งถ้าเราทำได้เราก็ไม่ควรที่จะต้องเครียดกับมัน 

การให้กำลังใจตัวเองภายใต้ความกลัวหรือเมื่อเจอเหตุการที่ไม่ดีอย่างไร?

ชีวิตจริง ๆ มันสั้นมาก เมื่อเราแก่ตัวไปเวลามองกลับมาเราจะรู้สึกเสียดายไหมที่ไม่ได้ทำบางอย่างหรือเราใช้ชีวิตคุ้มค่าหรือยัง แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนนั้นถูกสร้างมาพร้อมกับความกลัว ปฎิเสธไม่ได้ว่าความกลัวนั้นมีผลต่อชีวิตของเรามาก แต่จริง ๆ แล้วความกลัวนั้นก็เป็นประโยชน์ แต่เราต้องใช้ให้ถูก เราอาจจะใช้ความกลัวของเราเพื่อกระตุ้นความกล้า ในการที่จะคิดนอกกรอบ และในการที่จะออกจาก Comfort Zone ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งกับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน

คำถามที่ถูกถามจากนักเรียนหลาย ๆ คนที่เคยพบเจอคือ “ไม่มี” แต่สิ่งที่ได้พบหลังจากคุยกับพวกเขาเหล่านี้ไปคือจริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้ไม่มีแพชชัน แต่แค่ไม่กล้าและไม่เชื่อว่าจะทำตามแพชชันนี้ได้ ซึ่งสิ่งที่มากั้นขวางพวกเขาไปสู่แพชชันคือ “Expectation” และ “Status Quo” ของคนรอบข้างที่คาดหวังให้พวกเขาเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อยากเป็น ซึ่งในยุคนี้ บางทีถ้าเราสามารถที่จะตัดเรื่องของ Expectation และ Status Quo ออก แน่นอนว่าเรายังมี Option มากกว่านั้นเยอะ ที่เราสามารถทำให้แพชชันกับการหาเลี้ยงชีพเป็นสิ่งเดียวกันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเลือกทางเลือกแบบนี้ เราสามารถที่จะเลือกทางที่ทำตามความคาดหวังของคนอื่นได้ แต่ขอให้มั่นใจว่าเราจะมีความสุขกับสิ่งและทางที่เราเลือก

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...