
เมื่อปฏิทินกำลังจะถูกผลัดเปลี่ยน ช่วงเวลาแห่งเดือนธันวาคมและมกราคม ไม่ได้นำมาเพียงแค่เทศกาลเฉลิมฉลองหรือธรรมเนียมการมอบของขวัญเท่านั้น แต่ยังเป็นห้วงเวลาสำคัญที่เราจะได้ทบทวนเรื่องราวตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ในบทความนี้ทีมวิจัยจากเว็บไซต์ Morningstar ได้แบ่งปันรายชื่อหนังสือเล่มโปรดที่พวกเขาได้อ่านตลอดปีที่ผ่านมา โดยหนังสือที่ถูกคัดเลือกในปีนี้สะท้อนภาพรวมของประเด็นสำคัญที่โลกได้เผชิญในปี 2025 ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความยืดหยุ่นในสภาวะตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การนิยามความหมายของความมั่งคั่งและสุขภาวะใหม่ที่ก้าวข้ามเพียงเรื่องตัวเลขทางการเงิน และแน่นอนว่าขาดไม่ได้กับหัวข้อการสำรวจโลกของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่กำลังพลิกโฉมทุกวงการ หนังสือเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนเข็มทิศทางปัญญาที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการมอบเป็นของขวัญ หรือบรรจุลงในรายการหนังสือที่คุณต้องอ่านเพื่อเริ่มต้นปี 2026 อย่างแข็งแกร่ง
ในยุคที่เทคโนโลยีแทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของชีวิต หนังสือ 'Co-Intelligence' โดย Ethan Mollick ได้รับการแนะนำในฐานะผลงานที่มอบมุมมองอันเฉียบคมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศักยภาพ และหลุมพรางของ AI สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือแนวทางปฏิบัติที่เน้นการทำงานร่วมกัน แทนที่จะหวาดกลัวหรือเทิดทูนเทคโนโลยีจนเกินจริง Ethan Mollick แสดงให้เห็นวิธีการดึงจุดแข็งของ AI มาใช้ควบคู่ไปกับการตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดของมัน นับเป็นคู่มือที่สมดุลและรอบคอบสำหรับผู้ที่ต้องนำทางในยุคใหม่แห่งความร่วมมือระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ ในขณะเดียวกัน หากมองลึกลงไปในวัฒนธรรมองค์กรเทคโนโลยีระดับโลก
หนังสือ 'Careless People' โดย Sarah Wynn-Williams นำเสนอบันทึกความทรงจำจากอดีตพนักงานระดับสูงของ Facebook ที่ก้าวเข้ามาด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า แต่เมื่อได้ร่วมงานและเดินทางใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงอย่าง Mark Zuckerberg และ Sheryl Sandberg เธอกลับค่อยๆ ตระหนักถึงช่องว่างระหว่างคำพูดกับการกระทำที่ชวนให้สิ้นหวัง เรื่องราวส่วนตัวที่ถ่ายทอดด้วยสำนวนที่อ่านง่ายและแฝงอารมณ์ขันนี้ เปิดเปลือยเบื้องหลังที่แม้จะเป็นเพียงมุมมองของคนคนหนึ่ง แต่ก็เป็นบทเรียนที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
หากมองไปข้างหน้าไกลกว่าเดิม Ray Kurzweil กลับมาพร้อมกับ 'The Singularity Is Nearer' ซึ่งเป็นหนังสือที่นักธุรกิจไม่ควรพลาด Ray Kurzweil อัปเดตการทำนายของเขาเกี่ยวกับการมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ภายในปี 2029 และจุดเอกภาวะทางเทคโนโลยี (Technological Singularity) ในปี 2045 ซึ่งเป็นจุดที่ความฉลาดของมนุษย์และจักรกลจะหลอมรวมกัน เขาชี้ให้เห็นว่าความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดจะนำไปสู่เทคโนโลยีนาโนโรบอตที่สามารถซ่อมแซมร่างกายและเชื่อมต่อกับสมองมนุษย์ได้ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นคำเตือนให้ผู้นำองค์กรละสายตาจากผลประกอบการรายไตรมาส แล้วหันมาเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลงในอัตราเร่ง คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เราอยู่ในฟองสบู่ AI หรือไม่ แต่คือเรากำลังเตรียมองค์กรให้พร้อมรับมือกับอนาคตที่ก้าวหน้าแบบทวีคูณนี้อย่างไร
การเรียนรู้จากอดีตยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุน Andrew Ross Sorkin พาเราย้อนกลับไปในหนังสือ '1929' ซึ่งฉายภาพเหตุการณ์ตลาดหุ้นพังทลายครั้งประวัติศาสตร์ได้อย่างละเอียดและมีชีวิตชีวา หนังสือเล่มนี้เตือนใจเราว่าพฤติกรรมของมนุษย์และการมองโลกในแง่ดีจนเกินขอบเขตสามารถขับเคลื่อนความเสี่ยงเชิงระบบได้อย่างไร เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจสัญญาณเตือนของความฟุ้งเฟ้อและความสำคัญของวินัยในตลาดที่ผันผวน
ควบคู่ไปกับ 'Making Sense of Chaos' โดย J. Doyne Farmer ที่ท้าทายแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์แบบดั้งเดิมด้วยการนำทฤษฎีความซับซ้อนมาใช้เป็นเลนส์ในการมองตลาดสมัยใหม่ หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนในปัจจุบัน ทั้งสองเล่มนี้มอบมุมมองที่ช่วยลับคมแนวคิดเรื่องความเสี่ยงและความยืดหยุ่น ผ่านบทเรียนทางประวัติศาสตร์และกรอบความคิดใหม่ที่มองไปข้างหน้า
เมื่อพูดถึงความมั่งคั่ง หนังสือ 'The 5 Types of Wealth' โดย Sahil Bloom ได้ทลายกรอบความคิดเดิมที่ว่าความมั่งคั่งคือเรื่องของเงินทองเพียงอย่างเดียว Bloom ชี้ให้เห็นว่าเมื่อรายได้พ้นระดับพื้นฐานไประดับหนึ่งแล้ว เงินที่เพิ่มขึ้นแทบไม่ส่งผลต่อความสุข เขาจึงเสนอความมั่งคั่ง 5 ประเภท ได้แก่ เวลา สังคม จิตใจ ร่างกาย และการเงิน โดยผสานข้อมูลจากปรัชญาและสังคมศาสตร์เพื่ออธิบายความสำคัญและวิธีการวัดผลความมั่งคั่งในแต่ละด้าน ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านมีมุมมองที่กว้างขึ้นและโฟกัสที่เงินน้อยลง
ในทำนองเดียวกัน 'The Psychology of Money' โดย Morgan Housel ได้นำเสนอหลักการอมตะผ่านเรื่องราวที่เข้าถึงง่าย โดยเน้นย้ำว่าพฤติกรรมทางการเงินสำคัญกว่าความฉลาดทางสติปัญญา หนังสือเล่มนี้เปลี่ยนนิยามของความมั่งคั่งให้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น เงินออมและความสามารถในการยืดหยุ่น ซึ่งเป็นกรอบความคิดที่ผู้คนมักมองข้ามแต่กลับมีพลังในการวางแผนระยะยาว
ในมิติของการเงินส่วนบุคคลที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น Beth Pinsker นำเสนอ 'My Mother’s Money' หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงคู่มือการเงิน แต่เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจสำหรับผู้ที่ต้องดูแลการเงินและสุขภาพของผู้สูงอายุในครอบครัว Beth Pinsker ถ่ายทอดเรื่องราวของแม่ด้วยความรัก พร้อมมอบคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น การจัดเตรียมข้อมูลสำคัญเผื่อกรณีฉุกเฉิน แม้จะไม่ใช่หัวข้อที่สดใสที่สุด แต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน
ความล้มเหลวทางธุรกิจมักมีรูปแบบที่คาดเดาได้ Scott Fearon เขียน 'Dead Companies Walking' เพื่อเปิดเผยความจริงอันโหดร้ายว่าทำไมบริษัทถึงล้มละลาย ซึ่งมักเกิดจากความบกพร่องของมนุษย์ เช่น การปฏิเสธความจริง ความมั่นใจเกินเหตุ และการอ่านวัฏจักรธุรกิจผิดพลาด มากกว่าจะเป็นเรื่องของโชคร้าย Scott Fearon นำเสนอกรอบความคิดที่เน้นการตรวจสอบความจริง โดยเทียบคำพูดของผู้บริหารกับการกระทำจริงของธุรกิจ หนังสือเล่มนี้ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้นักลงทุนกลายเป็นคนขี้สงสัยอย่างมีเหตุผล และเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่น่าอึดอัดตั้งแต่เนิ่นๆ
สำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์การเงิน 'Barbarians at the Gate' และ 'The King of Capital' คือหนังสือที่ต้องอ่าน หนังสือทั้งสองเล่มนี้เพื่อทำความเข้าใจจุดกำเนิดของสินเชื่อภาคเอกชนและ Private Equity เล่มแรกบอกเล่าเรื่องราวการเข้าซื้อกิจการ RJR Nabisco ในปี 1988 ที่เต็มไปด้วยความดุเดือดและสะท้อนความโลภของผู้บริหาร ในขณะที่เล่มหลังเจาะลึกชีวประวัติของ Stephen Schwarzman แห่ง Blackstone และ Henry Kravis แห่ง KKR ซึ่งฉายภาพอุตสาหกรรมการซื้อกิจการด้วยเงินกู้ (Leveraged Buyout) ในมุมมองที่ต่างออกไป ทั้งสองเล่มช่วยให้เห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนโฉมหน้าโลกการเงินมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา: Morning Star
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด