ภาพ : ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)
หลักสูตรนี้มีชื่อเต็มว่า KMITL-NIDA Double Degree Program in Financial Engineering (วิศวกรรมการเงิน) เป็นความร่วมมือกันระหว่างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ซึ่งนับเป็นหลักสูตรแรกที่ผสานองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม และองค์ความรู้ด้านการเงินการธนาคาร โดยนำจุดเด่น และศักยภาพของแต่ละสถาบัน มาบูรณาการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยโครงสร้างหลักสูตรเป็นแบบตรีควบโท 4+1 เป็นหลักสูตรนานาชาติ ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะเปิดรับนักศึกษารุ่นแรก ในช่วงต้นปี ผ่านระบบรับสมัครของพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง และเปิดภาคเรียนในเดือนสิงหาคม 2562
หลักสูตรวิศวกรรมการเงิน เป็นหลักสูตรที่ผนวก 3 ศาสตร์การเรียนรู้ไว้ด้วยกัน ได้แก่
นอกจากนี้ยังต้องมีทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Computer Programming) และทักษะการคิดนวัตกรรมทางการเงินที่ใช้ความรู้การวิเคราะห์เชิงปริมาณร่วมกับวิทยาการคอมพิวเตอร์เข้ากับความรู้ในเชิงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และการเงิน เพื่อพัฒนาแบบจำลองต่าง ๆ ที่จะสามารถพยากรณ์การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ เพื่อรองรับความต้องการระดมทุน การลงทุน และการบริหารความเสี่ยงของทุกภาคส่วนที่จะมีความซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังเรียนรู้ถึงการประยุกต์ใช้ในการจัดการระบบการซื้อขายอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์ (Algorithmic Trading) และการบริหารจัดการกองทุนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ในโลกเทคโนโลยีทางการเงิน
ภาพ : รองศาสตราจารย์ ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ทางอาจารย์ผู้ดูแลโครงการกล่าวว่า กระบวนการพัฒนาหลักสูตรได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะเป็นผู้ใช้บัณฑิตในตลาดแรงงานหลายภาคส่วนทั้งในภาครัฐจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ และภาคเอกชนโดยเฉพาะในธุรกิจบริการทางการเงิน และสถาบันการเงินแล้ว นอกจากนี้ทางหลักสูตรวิศวกรรมการเงินจะสร้างความร่วมมือกับสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกัน เป็นต้น ตลอดจนความร่วมมือกับ FinTech เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ไปฝึกงาน และดึงอุตสาหกรรมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างบัณฑิต ตั้งแต่การออกแบบรายวิชาในหลักสูตร การเชิญวิทยากรจากภาคอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมสอน และการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมร่วมกันกับคณาจารย์และนักศึกษาของหลักสูตร
สำหรับรายละเอียดของหลักสูตรว่าเรียนอะไรบ้างนั้นสามารถดูได้ที่นี่ อ้างอิง : admission premium
ในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่ง Exponential Change เลยก็ว่าได้ ธุรกิจไหนที่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ยอมออกจาก Comfort zone มีโอกาสหันกลับมาอีกที มีคู่แข่งที่มาจากภาคธุรกิจอื่นผุดขึ้นมาพร้อมล้มคุณได้ทุกเมื่อ
และเมื่อมองในมุมศักยภาพบุคลากร ก็กลับเป็นว่ายังไม่มีความพร้อม นักศึกษาที่จบมาอาจจะเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีแต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในภาคธุรกิจนั้นๆ อย่างกรณีนี้คือ ภาคธุรกิจการเงิน จึงทำให้บุคลากรโตไม่ทันตามความต้องการตลาด
ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราควรหันมาคิดใหม่ ทำใหม่อย่างจริงจัง? สร้างหลักสูตรที่ทันกับความต้องการของตลาดมากขึ้น แน่นอนเรื่องนี้จะโยนให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของสถาบันศึกษาอย่างเดียวไม่ได้ ภาคเอกชนเอง หน่วยงานที่กำหนดนโยบายของประเทศเอง ก็ต้องกระโดดลงมาในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรด้วย เพราะองค์กรเหล่านี้รู้ว่าต้องการคนแบบไหนมาร่วมงาน เฉกเช่นเดียวกับหลักสูตรนี้ ที่ถือเป็นตัวอย่างที่ควรเริ่มมีมากขึ้น และถือเป็นข่าวดีสำหรับน้องๆ รุ่นนี้ด้วย (ดีใจแทนในฐานะรุ่นพี่วิศวฯ)
ส่วนตัวเชื่อว่ามีผู้ใหญ่หลายท่านที่อยากเปลี่ยนแปลงและทำอะไรใหม่ๆ เพื่อประเทศ เฉกเช่นเดียวกับ Startup มีไอเดียที่ดีแล้ว แต่สุดท้าย การปฏิบัติ (Execution) คือสิ่งสำคัญที่สุด ในที่นี้หมายถึง กระบวนการอนุมัติ การบรรจุหลักสูตร ก็ควรต้องปรับให้รวดเร็วตามด้วยเช่นกัน ไม่งั้นก็เป็นคอขวดอยู่ดี เราหวังว่าเสียงเล็กๆ จากสื่อของเราจะส่งถึงคนที่เกี่ยวข้องและดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด