อัลกอริธึมและวัฒนธรรมโซเชียลมีเดียกำลังผลักให้เราต้องดังขึ้น เก่งขึ้น และต้องเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดให้คนอื่นเห็นตลอดเวลา แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้าม ความกดดันเพิ่มขึ้น ความสุขลดลง และเราหลงคิดว่าทุกอย่างต้องหมุนรอบตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
ดังนั้นการทำให้ตัวเอง 'เล็กลง' แล้วจะมีความสุขมากขึ้น อาจจะเป็นเรื่องที่เราหลายคนในยุคนี้ต้องกลับมาคิดดู

จากการศึกษาพบว่า มุมมองแบบ egocentric นี้ไม่ได้เกิดจากความหลงตัวเอง แต่มีรากฐานจากวิวัฒนาการทางประสาทวิทยา บรรพบุรุษของเราต้องเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่การแข่งขันสูง การมองตัวเองเป็นบุคคลสำคัญในฝูงจึงช่วยให้เขาปกป้องสถานะ หาทรัพยากร และรักษาความอยู่รอดของตนเองและครอบครัว
แนวโน้มนี้ถูกสืบทอดสู่สมองมนุษย์ยุคใหม่ ทั้งที่โลกทุกวันนี้จะเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือรูปแบบเดิมแล้ว แต่ระบบคิดแบบเดิมยังติดอยู่ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เรามองตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของสถานการณ์ต่าง ๆ มากเกินไป และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดความกังวล ความคิดมาก และความรู้สึกเหมือนมีสปอตไลต์ฉายอยู่บนศีรษะเราตลอดเวลา
ทั้งที่จริง ๆ คือไฟฉายเล็ก ๆ ที่เราถือไว้เองต่างหาก และเราก็เผลอจี้หน้าตัวเองอยู่ทั้งวัน
นักจิตวิทยาบอกว่าความเครียดจำนวนมากของมนุษย์ยุคนี้เกิดจาก การคิดว่าตัวเองเป็นประเด็นใหญ่เกินความจำเป็น เรารู้สึกว่าทุกคำพูดของเราต้องดี ทุกการตัดสินใจต้องสมบูรณ์แบบ ทุกการกระทำมีคนคอยสนใจ
ทั้งที่ความจริงคนอื่นกำลังยุ่งกับชีวิตของเขาเหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลาเฝ้าดูเราล้มเหลวหรือผิดพลาดอย่างละเอียดขนาดนั้น การคิดว่าคนอื่นจับตามองเรา คือการยัดตัวเองขึ้นเวทีทั้งที่ไม่มีงานแสดง และปัญหาคือเรายืนอยู่บนเวทีนั้นจนหมดแรง
ความรู้สึกว่าเราไม่ได้สำคัญขนาดนั้น อาจฟังดูแทงใจ แต่จริง ๆ แล้วพอเราเลิกเป็นศูนย์กลางของทุกเรื่อง ชีวิตของเราก็จะเบาลงทันที เราจะเริ่มเห็นความงามเล็ก ๆ ที่ไม่เคยเห็น เพราะมัวแต่ส่องไฟใส่หน้าตัวเองตลอดเวลา
นักวิจัยเรียกสิ่งนี้ว่า self-transcendence หรือการออกจากกรอบตัวเองเพื่อมองโลกในมุมที่กว้างกว่าเดิม พอเราหลุดออกจากวงโคจรของตัวเองได้ สมองจะหยุดคิดซ้ำ ๆ ว่าคนอื่นกำลังประเมินเรา และเราจะรู้สึกเป็นตัวเองแบบที่อยากเป็นได้
การทำตัวเองให้เล็กลงไม่ใช่การลดค่าตัวเอง แต่คือการจัดวางตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องตามความจริงมากขึ้น และเมื่อเราเริ่มทำในระดับเล็ก ๆ เราจะพบว่าน้ำหนักที่เคยแบกอยู่มันหายไปเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ
เริ่มต้นจากอย่างแรกที่ง่ายสุดแต่ท้าทายที่สุด คือ การยอมรับว่าเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ทุกคนมีเรื่องในหัว มีปัญหาเฉพาะหน้า มีความวุ่นวายของเขาเองมากพอจนไม่ได้มองเราตลอดเวลาอย่างที่เราจินตนาการ
เมื่อดึงตัวเองออกจากศูนย์กลางได้แล้ว ลองเดินเข้าไปในพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเรา เช่น ท้องฟ้า ภูเขา ทะเล ฟัง เพลงดี ๆ สิ่งพวกนี้เตือนเราว่าโลกมันกว้างกว่าเรื่องที่เราคิดมากอยู่เยอะมาก และเราก็เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในความงามมหาศาลนั้น การสัมผัสความใหญ่แบบนี้ช่วยวางอัตตาให้อยู่ในตำแหน่งที่พอดี โดยไม่บั่นทอนคุณค่าในใจตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
อีกวิธีหนึ่งที่ทรงพลังเกินคาดคือการทำความดีแบบเงียบ ๆ การช่วยเหลือใครโดยไม่ต้องให้ใครรู้ ไม่ต้องลงสตอรี่ ไม่ต้องให้ใครชื่นชม คือการดึงตัวเองออกจากความต้องการความสนใจ และย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่เบากว่า อุ่นกว่า และจริงใจกว่า ความดีที่ไม่มีใครเห็น เป็นของขวัญที่เราทำให้หัวใจตัวเอง เพราะมันย้ำว่าเราไม่จำเป็นต้องมีคนดูอยู่ตลอดเวลาถึงจะมีคุณค่า
หลายครั้งที่เราคิดหนัก คิดวน คิดไปไกล ทั้งที่ความจริงไม่มีใครคิดถึงเรามากขนาดนั้น คนที่ตอบช้าก็อาจแค่ยุ่ง คนที่ดูห่างไปก็อาจมีเรื่องของเขาเอง ไม่ใช่ความผิดของเราอะไรทั้งนั้น การยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ใช่การลดคุณค่าตัวเอง แต่คือการรู้จักแยกแยะว่าอะไรเกี่ยวกับเรา และอะไรไม่เกี่ยวเลย เพื่อที่เราจะไม่เอาเรื่องเล็ก ๆ มาทำร้ายใจตัวเองโดยไม่จำเป็น
สุดท้าย การทำตัวเล็กลงคือการอนุญาตให้ตัวเองเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกครั้ง พลาดได้ เหนื่อยได้ งอแงได้ ไม่ต้องพร้อมทุกวัน ไม่ต้องเปล่งประกายตลอดเวลา ไม่ต้องชนะทุกเกม และไม่ต้องเก่งในทุกบทบาท นี่คือการถอดบทตัวละครเวอร์ชันโชว์ทิ้ง แล้วกลับมาเป็นตัวจริงที่ไม่ต้องหลอกใคร ไม่ต้องพิสูจน์อะไร การเป็นมนุษย์จริง ๆ นี่แหละที่ทำให้ใจเรากลับมามีพื้นที่ และเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบที่แท้จริง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การทำตัวให้เล็กลง ไม่ใช่การหดหายจากโลก แต่คือการถอยออกมาพอให้เห็นว่าตัวเราไม่ต้องยิ่งใหญ่เพื่อจะมีคุณค่า เพียงแค่พอดี กับความต้องการของเราก็เพียงพอแล้ว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด