หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ประกาศปิดสถานศึกษาทุกประเภท และสถานบริการทุกประเภทเป็นเวลา 14 วัน นับตั้งแต่ 18 มีนาคม ไปจนถึง 31 มีนาคม 2563 จึงทำให้การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนหลายแห่งอาจต้องหยุดชะงักไป
ในช่วงวิกฤตแบบนี้ จึงเป็นโอกาสสำหรับสถานศึกษาที่จะทดลองการเรียนการสอนออนไลน์อย่างจริงจังและกว้างขวางมากขึ้น การสอนออนไลน์กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่ช่วยให้อาจารย์และนักศึกษาสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ อีกทั้งช่วยประหยัดเวลาการเดินทาง และประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงจากโรคระบาด
อย่างไรก็ตาม การสอนออนไลน์จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์และการเตรียมตัวไม่ใช่น้อย ทั้งมหาวิทยาลัยและตัวอาจารย์เองที่ต้องศึกษาวิธีการใช้ tools ต่าง ๆ ไม่รวมถึงความท้าทายสำหรับอาจารย์บางท่านที่อาจไม่คุ้นเคยกับการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล และการกระตุ้นให้นักศึกษามีส่วนร่วมในชั้นเรียน
ในบทความนี้ Techsauce ได้พูดคุยกับ อ.ดร. พีระ เจริญวัฒนนุกูล หนึ่งในอาจารย์ของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงตัวอย่างของการปรับตัวจากรั้วมหาวิทยาลัยอันดับต้นของประเทศ ในการขับเคลื่อนการเรียนการสอนให้ก้าวต่อไปอย่างปกติในช่วงวิกฤตครั้งนี้
ไม่เคยมีเลย นี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการยกการสอนเข้าสู่ออนไลน์ จึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับคณะ
ผู้บริหารคณะรัฐศาสตร์ มีการเตรียมตัวตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่เริ่มมีเรื่องโรคระบาดอู่ฮั่นแรก ๆ มีการเตรียมแผนฉุกเฉินให้เตรียมการเรียนการสอนทั้งหมดผ่านออนไลน์ ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ทำให้พอมีประกาศปิดมหาวิทยาลัย ก็สามารถสอนต่อได้ทันทีจากการเตรียมการล่วงหน้า ส่วนคณะอื่นๆ ทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศให้เริ่มต้นอาทิตย์หน้า
เริ่มแรกก็มีการพูดถึงความเป็นไปได้ถึง worst-case ที่มีการประกาศปิดเมือง หรือปิดมหาวิทยาลัย แบบที่เพิ่งมีประกาศไป การเรียนการสอนออนไลน์ก็ต้องนำมาใช้ โดยผู้บริหารคณะได้ลองศึกษาว่าจะนำแพลตฟอร์มไหนมาใช้บ้าง
Tools อันแรกที่ใช้คือ Microsoft Teams ที่เป็นแพลตฟอร์มให้เราจัด Webinar ซึ่งอาจารย์สามารถบรรยายไป แล้วนักศึกษาก็เข้ามาฟัง โดยการเปิดกล้องฟังและสามารถโต้ตอบหรือมี interaction กันสดๆ ได้เลย
อีกแพลตฟอร์มที่ใช้ คือ Zoom ซึ่งใช้ง่ายกว่า นักศึกษาสามารถนำรหัสเข้าห้องมาเพื่อนั่งเรียนออนไลน์ได้
นอกจากนี้ก็มีใช้ Google Classroom ที่เอาไว้โพสต์ข่าวสารภายในคลาสที่สอน
ในระดับคณะรัฐศาสตร์ มีการเตรียมการสำหรับอาจารย์ที่มีอายุหรือท่านที่ไม่คุ้นกับการใช้เทคโนโลยี โดยให้อาจารย์เดินทางมาที่คณะ แล้วจะมีทีม IT Support ช่วยจัดการเรื่องการ Live สอนและแนะนำวิธีใช้ให้เลย ส่วนเด็กนักศึกษาไม่ต้องเดินทางมา
ซึ่งการเตรียมตัวลักษณะนี้ก็ทำให้เกิดความเชื่อมต่อ แม้มีการประกาศปิดมหาวิทยาลัยก็ไม่ต้องกังวลอะไรเพราะสามารถเรียนสอนได้ตามปกติ
ก่อนหน้านี้เรายังไม่เคยทดสอบมาก่อนว่าเด็กจะโดดเรียนไหม แต่ในแง่ของการเช็ครายชื่อมันเช็คได้ง่ายกว่า เพราะว่าดูได้เลยว่ามีใครเข้ามาบ้าง ดังนั้นถ้าจะใช้มาตรการเช็คชื่อนี้ก็สามารถทำได้
แต่ในสถานการณ์ที่มีเชื้อไวรัสและมี Social distancing เป็นนโยบายหลักแบบนี้ คิดว่านักศึกษาน่าจะชอบและพอใจมากกว่าที่ไม่ต้องเดินทางผ่านรถติด แค่อยู่บ้านก็ฟัง lecture ได้ ซึ่งเวลาเรียนก็ควรจะเปิดกล้องเพื่อเป็นการ identify ตัวตนและป้องกันคนนอกมานั่งเรียนด้วย
จากมุมมองของการเรียนการสอนแบบคณะรัฐศาสตร์ที่ต้องมีการตั้งคำถามกับเด็ก ประสิทธิผลที่ได้มันอาจจะต่ำลงเล็กน้อย เพราะมันทำให้นักศึกษาตอบคำถามเรายากมากขึ้น ปกติถ้าเป็นบรรยากาศการสอนในห้องเรียนก็เดินเข้าไปถามได้ ว่าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่พอเป็น Live ก็อาจจะยากกว่า บางทีนักเรียนอาจมีความเห็นแต่ไม่อยากตอบก็เป็นไปได้
เพราะโดยธรรมชาติของนักศึกษาไทยก็จะไม่ค่อยกล้าโต้ตอบกับผู้สอนอยู่แล้ว พอเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ยิ่งบังคับยาก ส่วนตัวจึงมองว่าการสอนออนไลน์ เหมาะเป็นมาตรการชั่วคราวในช่วงที่มีวิกฤตมากกว่า
สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 เปรียบเสมือนการบังคับให้ทั้งภาคการศึกษาและภาคธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวกันอย่างรุนแรง ซึ่งนี่อาจเป็นโอกาสให้เราได้เห็น business model และ innovation ใหม่ๆ เกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด