Harvard Business Review เผย ถ้าจะพัฒนาทักษะด้าน Soft Skills การอ่านนิยายจะได้ผลดีกว่า | Techsauce

Harvard Business Review เผย ถ้าจะพัฒนาทักษะด้าน Soft Skills การอ่านนิยายจะได้ผลดีกว่า

"หยิบยื่นนิยายให้พนักงาน แล้วเขาจะทำให้บริษัทดีขึ้น" Harvard Business Review เผย ถ้าจะพัฒนาด้าน Soft Skills การอ่านนิยายจะได้ผลดีกว่า

นักธุรกิจชั้นนำล้วนเป็นนักอ่าน แต่หนังสือนิยายกลับได้รับความสนใจเพียงน้อยนิดจากพวกเขา 

Warren Buffett ใช้เวลาแต่ละวันไปกับการอ่านและแนะนำเราว่าควรอ่านวันละ 500 หน้า เขาเคยแนะนำหนังสือบ้าง แต่ไม่มีเล่มไหนเลยที่เป็นนิยาย

Bill Gates แนะนำหนังสือน่าอ่านทุกปี เขาแนะนำมาแล้ว 94 เล่ม แต่มีเพียง 9 เล่มที่เป็นนิยาย

หนังสือส่วนใหญ่ที่พวกเขาอ่านมักจะอยู่ในกลุ่ม Non-fiction ที่เป็นความรู้ในสายงานของพวกเขา พวกเขาอ่านก็เพื่อเพิ่มพูนความรู้ที่จะนำมาใช้พัฒนาด้าน Hard Skills

ทุกๆ ปี LinkedIn จะประกาศความสามารถที่เป็นที่ต้องการของบริษัท อย่าง Hard Skills ก็มีถึง 10 อย่าง โดย Blockchain, Cloud Computing, Analytical reasoning, Artificial intelligence และ UX design คือ 5 อันดับแรกที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในปี 2020

จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นความสามารถด้านเทคโนโลยี เมื่อเทรนด์ใหญ่มาทางนี้ก็ต้องยอมหลีกทางให้กับคนที่คลุกคลีด้านนี้มาตั้งแต่แรก แล้วคนที่ไม่อยู่ในสายเทคโนโลยีล่ะจะทำยังไง ลองหันไปพัฒนาด้าน Soft Skills ก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน

มี Soft Skills 5 อย่างที่หลายบริษัทต้องการคือ Creativity, Persuasion, Collaboration, Adaptability และ Emotional Intelligence ความสามารถเหล่านี้เป็นสิ่งที่บริษัทขาดไม่ได้เช่นกัน สมมติถ้าคุณมีคนเก่งแบบ Elon Musk เต็มไปหมด (มี Hard Skills ระดับสูงๆ) แต่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เลย (ไม่มี collaboration) บริษัทของคุณก็ไม่สามารถโตได้อยู่ดี

และการอ่านนิยายก็มีประโยชน์เพื่อการนี้ ถึงแม้ว่าจะมีหนังสือ Non-fiction มากมายที่พูดถึงการพัฒนาด้าน Soft Skills อย่างเช่น Emotional Intelligence ของ Daniel Goleman แต่มีงานวิจัยจาก Harvard เผยออกมาว่าถ้าจะพัฒนาด้าน Soft Skills การอ่านนิยายจะได้ผลดีกว่า

สิ่งที่คุณจะเห็นในนิยายคือ ตัวละคร พล็อต และฉากที่เกิดเหตุ ผู้เล่าจะเชื่อมสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องราวและพาคุณเข้าไปพบเจอกับสถานการณ์ที่ตัดสินใจได้ยาก ถ้าคุณตัดเรื่องอารมณ์ออกไป คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่ตัวละครทำนั้นมันผิด แต่ถ้าคุณรับรู้ความคิด นิสัย อารมณ์ของตัวละครและบริบทที่เกิดขึ้น คุณอาจจะเกิดความคิดว่าสิ่งที่ตัวละครทำนั้นก็มีเหตุผล

แต่หนังสือ Non-fiction จะทำงานอีกแบบหนึ่ง หนังสือกลุ่มนี้จะตัดเรื่องอารมณ์ออกไป พยายามให้คุณคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล จากนั้นย่นย่อเรื่องราวต่างๆจนได้ผลลัพธ์เป็นสองแบบ แบบนี้คือถูก แบบนั้นคือผิด ซึ่งเมื่อหนังสือฟันธงมาให้พร้อมกับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เราก็มีแนวโน้มที่จะลดการโต้เถียงกับผู้เขียน

ส่วนนิยายจะปล่อยให้คุณใช้ความคิดเอาเอง นิยายเล่มเล็กๆเล่มเดียวก็มีพลังที่ทำให้ได้มุมมองหลายๆมุม

อย่างเช่นนิยายเรื่อง The Country of the Blind ของ H.G.Wells มีคำกล่าวที่ว่า “ในดินแดนคนตาบอด คนตาเดียวคือพระราชา” ซึ่งโดยหลักแล้วมันก็ควรเป็นแบบนั้น แต่ปรากฏว่าในเรื่องกลับตรงกันข้าม กลายเป็นว่าคนตาบอดสามารถเดินตามทางได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนคนตาดีกลับเดินสะดุดอยู่บ่อยๆจนถูกคิดว่าเป็นทารกที่พึ่งเกิด

ความคิดของคนตาบอดกับคนตาดีก็ไม่เหมือนกัน เมื่อฟังพวกเขาถกเถียงกันก็ไม่แปลกที่คุณจะเข้าข้างความคิดแบบคนตาดี แต่ถ้าฟังไปเรื่อยๆ คุณก็อาจจะเริ่มคล้อยตามกับความคิดของคนตาบอดได้ สิ่งที่เถียงกันไม่ใช่เรื่องกายภาพ แต่เป็นความคิดที่มีอคติ

Nancy Kidder ทำงานที่ Books@Work ที่ช่วยแต่ละองค์กรเชื่อมผู้คนให้ทำงานร่วมกันด้วยการใช้หนังสือ เธอเคยให้ผู้คนในองค์กรหนึ่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่อง Dead Man’s Path ของ Chinua Achebe ซึ่งเป็นเรื่องของ Michael Obi ครูใหญ่ที่ต้องการจะพัฒนาโรงเรียนชนบทให้มีความทันสมัย แต่สุดท้ายก็ต้องเจอกับความล้มเหลว

หลังจากที่ได้พูดคุยกัน Kidder ก็พบว่าผู้เข้าร่วมได้ภาษาใหม่ในการคุยแลกเปลี่ยนเรื่องงาน “ฉันขับเคลื่อนการบริหารด้วยวิธีนี้ แต่ฉันไม่ได้ต้องการจะเป็น Michael Obi ที่นี่หรอก” Kidder กล่าว

ประสบการณ์ของ Kidder บอกว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่อ่านและพูดคุยมีแนวโน้มที่จะเข้าชนกับคำถามยากๆมากขึ้น ผู้เข้าร่วมของเธอจะไตร่ตรองปัญหาอย่างเช่น วิธีการรักษาสมดุลระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมและนวัตกรรม ทำไมบางครั้งเราถึงผิดพลาดในการเห็นมุมมองของผู้อื่น เราจะฟังผู้อื่นด้วยความใส่ใจมากขึ้นได้อย่างไร

เป้าหมายของการอ่านหนังสือแบบนี้คือการพัฒนาความเฉียบคมและความไวในการรับรู้ความรู้สึก มันคือการอ่านเพื่อพัฒนาความสามารถทางด้านอารมณ์ คุณจะไม่ตัดสินอีกฝ่ายในทันทีเพราะนิยายสอนให้คุณรู้ว่าอาจมีเหตุจูงใจบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายตัดสินใจทำแบบนั้น

นี่คือจุดเด่นของนิยาย มันทำให้เราไม่ปิดกั้นการรับรู้ข้อมูล นักวิจัยจาก University of Toronto พบว่าผู้ที่อ่านเรื่องสั้นจะมีแนวโน้มที่จะด่วนสรุปน้อยกว่า เพราะนิยายต้องการทำให้เราช้าลง มันค่อยๆเพิ่มปริมาณข้อมูลเข้าไป จากนั้นก็เปลี่ยนความคิดของเราขณะที่อ่าน 

นิยายสืบสวนสอบสวนให้ความสนุกกับคุณได้เพราะมันคอยให้ข้อมูลคุณทีละนิดๆเพื่อใช้ในการไขคดี มันฝึกให้คุณไม่ด่วนสรุป คุณจะไตร่ตรองไปพร้อมกับตัวละคร คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และเมื่ออ่านจบคุณก็จะเพิ่มพูนความสามารถด้าน Critical thinking 

หนังสือแนวธุรกิจเป็นที่นิยมเพราะเมื่อเปิดดูคร่าวๆคุณก็จะรู้ว่าหนังสือเล่มนั้นจะให้คำตอบอะไรกับคุณ ซึ่งเหมาะกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว

แต่นิยายจะไม่ให้คำตอบกับคุณง่ายๆ และไม่มีคำตอบง่ายๆอยู่ในนั้น แต่มันจะทำให้คุณได้เห็นมุมมองแต่ละด้านแทน

คุกที่บราซิลมีโปรแกรมให้นักโทษได้อ่านหนังสือเพื่อลดจำนวนวันลงโทษ อ่านหนังสือ 1 เล่ม ลดจำนวนวันลงโทษได้ 4 วัน

หนังสือที่ให้อ่านคือนิยาย วรรณกรรมคลาสสิค ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ แต่นอกจากต้องอ่านแล้วยังต้องเขียนความเรียงเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น

เป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่การลดโทษ แต่คือการเปลี่ยนความคิดของนักโทษ พวกเขาจะได้มุมมองใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆที่ได้จากการอ่านและเขียน พวกเขาจะมองโลกได้กว้างขึ้นแม้ว่าจะยังอยู่ในคุก

Marvin Riley ซีอีโอของ EnPro Industries ไม่ลังเลที่จะจัดหานิยายให้พนักงานได้อ่าน เขาได้ร่วมกับ Books@Work เพื่อสร้างองค์กรที่ร่วมมือกันทำงาน ปลอดภัย สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนความคิด เมื่อได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน Riley ได้ให้เครดิตกับทาง Books@Work ว่าสามารถเพิ่มความสามารถของการทำงานเป็นทีมและการสื่อสารก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น

คุณอาจจะคิดว่านิยายคือเรื่องแต่ง มันมีเรื่องที่ไม่จริงอยู่ในนั้นและอาจทำให้ได้รับข้อมูลผิดๆ แต่ก็อย่าลืมว่านิยายชั้นดีจะนำเรื่องจริงมาประกอบเป็นเรื่องราว Isaac Asimov เองก็เรียนรู้เรื่องต่างๆจากการอ่านนิยาย และนิยายที่เขาเขียนก็มาจากข้อเท็จจริงต่างๆร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ไม่ใช่การยกเมฆขึ้นมาเขียนแต่อย่างใด

เรารู้ว่าไม่มีสัตว์ในฟาร์มตัวไหนที่สามารถร่วมมือกันจนขับไล่มนุษย์ หรือสร้างโรงสีลมได้ แต่ Animal Farm ก็เผยให้เห็นว่าเนื้อแท้ของผู้นำเผด็จการเป็นอย่างไร ทำไมสัตว์เหล่านั้นถึงไม่ต่อต้าน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแต่ง

มันคือการถ่ายทอดความซับซ้อนที่เกิดขึ้นบนโลกโดยใช้เรื่องเล่าเพียงหนึ่งเรื่อง

ข้อมูลอ้างอิง: Harvard Business ReviewLinkedIn

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...