ผลกระทบจากยุค Disruption ทำให้หลายธุรกิจได้สั่นสะเทือนกันไปแล้ว ซึ่งก็ไม่เว้นแม้แต่วงการการศึกษา เพราะทุกวันนี้ทุกคนต่างมีโลกการเรียนรู้ของตนเองเป็นหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กพกพาได้ เพียงค้นหาในไม่กี่คลิกก็พบเจอคำตอบ หรือแม้กระทั่งการเรียนออนไลน์ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าอินเทอร์เน็ตเป็นผู้ทำหน้าที่เชื่อมต่อความรู้กับผู้คนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทำให้ในเวลานี้หลายสถานศึกษาต่างเริ่มตระหนักและตื่นกลัวกับวิกฤตการขาดแคลนผู้เรียน พร้อมหลักสูตรเก่าที่ไม่ตอบโจทย์ลักษณะงานใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น โดยผลลัพธ์ที่เรากำลังเห็นในเวลานี้คือ มีหลายคณะเกิดใหม่ ในขณะเดียวกันหลายคณะก็ปิดตัวลง
นี่คือวิกฤตของวงการศึกษาทั่วโลก แน่นอนว่าประเทศไทยเองก็ประสบปัญหานี้ไปด้วยเช่นกัน จากหลากหลายปัจจัยทำให้เกิดการ Lay off อาจารย์จากมหาวิทยาลัย และยิ่งไปกว่านั้นพบว่า จำนวนผู้สมัครสอบ Admission ปีการศึกษา 2562 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ มีการขายธุรกิจให้ต่างชาติและเลิกกิจการเป็นจำนวนมาก
ในช่วงที่ผ่านมานั้น มีข่าวการศึกษาใหญ่ๆ เกิดขึ้นในบ้านเรา ได้แก่ข่าวการปิดตัวของคณะเศรษฐศาสตร์ในหลายๆ มหาวิทยาลัยเอกชน เนื่องจากจำนวนผู้สมัครเรียนลดน้อยลงเรื่อยๆ ปีละ 20-40% โดยสาเหตุหลักๆนั้นมากจากที่ผู้เรียนรู้สึกว่าเป็นสายวิชาที่หางานยาก เพราะในยุคปัจจุบันนายจ้างและผู้ประกอบการนั้นต้องการบัณฑิตจบใหม่ที่มีความรู้เฉพาะทางมากกว่า อีกทั้งเศรษฐศาสตร์เป็นเสมือนสาขาวิชาที่ตอบโจทย์การทำงานของภาครัฐ แต่ในยุคปัจจุบันภาครัฐเองเป็นเพียงกลุ่มองค์กรขนาดเล็กในไทยหากเทียบกับเหล่าบริษัทเอกชนที่ดูจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยเศรษฐกิจและกระแสโลก และนี่ส่งผลให้มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งในไทยต้องปรับหลักสูตรการสอนให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมมากขึ้น และยังเปลี่ยนวิชาเศรษฐศาสตร์ให้เป็นวิชาพื้นฐานของทางมหาวิทยาลัย รวมไปถึงลดค่าเทอมลง 20-30%
อีกหนึ่งคณะที่ต้องถึงคราวหลั่งน้ำตาคือคณะนิเทศศาสตร์และวารสารศาสตร์ เพราะจากข่าวการสัมภาษณ์นักวิชาการและอาจารย์ในหลายมหาวิทยาลัยก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จำนวนนักศึกษาในคณะดังกล่าวมีจำนวนลดลง และยังมีข่าวว่ามหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งจ่อปิดคณะสื่อสารมวลชนหรือนิเทศศาสตร์ในปี 2562 เช่นเดียวกันกับมหาวิทยาลัยของรัฐในบางแห่ง เช่น ราชภัฏและเทคโนโลยีราชมงคล
เนื่องด้วยการทำงานสายสื่อนั้น โดยปกติในการทำงานก็ถือว่ามีความรวดเร็วแตกต่างไปจากการเรียนอยู่มากพอควร แต่เมื่อยุคดิจิทัลคลืบคลานข้ามาก็ยิ่งเพิ่มความรวดเร็วของข้อมูลเข้าไปอีก เป็นเรื่องน่าชวนคิดว่าคณะสายนี้จะปรับตัวไปในทิศทางใด หากคณะไม่ยอมปรับตัวให้ไวและให้ทันสื่อออนไลน์ยุคใหม่จะทำให้อยู่รอดได้ยากในยุคอนาคต และแน่นอนว่าเหล่าบุคลากรทางการศึกษาในหลากหลายสถาบันก็ไม่ได้นิ่งเฉยกับวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ มหาวิทยาลัยจำนวนมากพยายามปรับคณะนิเทศศาสตร์และวารสารศาสตร์ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนชื่อหลักสูตรให้ดูครอบคลุมเนื้อหาด้านดิจิทัล หรือพัฒนาหลักสูตรให้มีความใหม่และเข้าถึงเทคโนโลยียุคปัจจุบันตลอดเวลา เช่น สอนการเขียนข่าวบนแพลตฟอร์มออนไลน์ การวิเคราะห์ data บนโลกอินเทอร์เน็ตแล้วนำมาใช้ในการผลิตเนื้อหา
ไม่ใช่เพียงเศรษฐศาสตร์และนิเทศศาสตร์เท่านั้นที่กำลังซบเซา ยังมีสาขาวิชาอื่นๆ ที่มีข่าวแว่วตามมาว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลงเช่นกัน อย่างเช่น คุรุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ ประวัติศาสตร์และปรัชญา แม้ว่าหลากหลายองค์กรจะออกมาแจ้งว่าหนึ่งในสาเหตุหลักคือการลดลงของประชากรเด็กเกิดใหมที่เคยสูงถึงปีละ 1,000,000 คนในอดีต แต่ปัจจุบันกับลดเหลือเพียง 600,000 คน ซึ่งทำให้จำนวนที่นั่งในมหาวิทยาลัยนั้นมีสัดส่วนที่ไม่สอดคล้องกันกับผู้เรียนเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่นี้ โลกดิจิทัลที่เราทุกคนกำลังพบเจอกำลังจะนำพาเทรนด์การศึกษารูปแบบใหม่มาสู่สังคมของเรา
ในปัจจุบันนี้เราได้เห็นคอร์สเรียนออนไลน์ที่มอบใบประกาศณียบัตรให้ผู้จบการศึกษา ได้เห็น MOOC หรือ Massive Open Online Course หลักสูตรเรียนฟรีในรูปแบบออนไลน์ที่รวบรวมมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกไว้ในที่เดียวกัน โดยผู้เรียนสามารถที่จะจัดการเลือกสรรวิชาเรียนได้ด้วยตนเอง นี่ถือว่าเป็นมิติใหม่แห่งการศึกษาเพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดในโลก คุณสามารถเรียนรู้ออนไลน์ในมหาลัยระดับท็อปของโลกได้ ไม่ว่าจะเป็น Harvard MIT หรือแม้กระทั่งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ของไทย
ในขณะเดียวกันกระแสดิจิทัลที่หลั่งไหลเข้ามาในไทยส่งผลให้มีหลักสูตรใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาด้านการพัฒนาเกมส์ ผู้ประกอบการยุค 4.0 วิชาประเภทดิจิทัล อี-คอมเมิร์ซ หรือ สาขาวิชา AI ที่เพิ่มเข้ามาในหลายหลักสูตร ซึ่งสร้างความสนใจให้ผู้เรียนรุ่นใหม่จำนวนมาก เหตุจากคนรุ่นใหม่หันความสนใจไปทางการเป็นผู้ประกอบการมากกว่าการเป็นลูกจ้าง หรือรับราชการดั่งเช่นในอดีต แต่ถึงอย่างไรในช่วงปีที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นการปรับตัวทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยรายใหญ่ในไทยอยู่บ้าง เช่น จุฬาลงกรณ์ และ ธรรมศาสตร์ ที่เริ่มออกมาเปิดหลักสูตรออนไลน์หรือห้องเรียนสำหรับประชาชนมากขึ้น
ต่อจากนี้ไปมหาวิทยาลัยจะไม่เป็นแค่สถานที่ในการเข้าไปนั่งเรียน ฟังและจดเพียงเท่านั้น แต่มหาวิทยาลัยจะต้องพัฒนาตนให้เหมือนพื้นที่แห่งการเรียนรู้ สถานศึกษาจะต้องมีความสามารถที่ให้ความรู้หรือทักษะที่นักศึกษาจะหาไม่ได้ในโลกอินเทอร์เน็ตและจะต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยแห่งอนาคต ยิ่งเร็วและมีคุณภาพมากเท่าไหร่อัตราการอยู่รอดก็สูงมากขึ้นเท่านั้น
อ้างอิง dailymail.co.uk, nus.edu.sg, CNBC, Japantimes, MGRonline.com, dailynews.co.th, the101.world, chula.ac.th
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด